ทีมใหญ่ทีมดังมีทั้งฝั่งเดียวกันและฝั่งตรงกันข้าม เมื่อไหร่ก็ตามที่ขยับตัวมักจะเสียงดังอยู่เสมอๆ
การย้ายทีมที่ “สะเทือนวงการ” อีกครั้ง นั่นคือการขยับตัวในการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
หลังจากพวกเขาได้กระแสด้วยตัวเองและคนอื่นมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เริ่มจากการออกสตาร์ทแพ้ 2 เกมติดหนแรกตั้งแต่ปี 1992 หรือการที่ เอริค เทน ฮาก เป็นกุนซือคนใหม่ของทีมที่แพ้ 2 เกมติดในรอบ 101 ปี ต่อด้วยแฟนบอลจะประท้วงทีมในเกมแดงเดือด และการจะขายสโมสรของตระกูลเกลเซอร์
จนถึงคนอื่นมาสร้างให้นอกสนามนั่นคือ อีลอน มัสก์ ที่จะทำอะไรก็มักจะเป็นข่าวไปหมดในสไตล์คนมีสะตุ้งสตางค์ และที่ฮือฮาเห็นภาพกันเป็นร้อยล้านวิว เมื่อน้องเจนนี่ แห่งวงเกิร์ลกรุ๊ปบันลือโลก “Blackpink” ใส่เสื้อลำลองของทีม ชุดสีดำซีซั่นก่อน ในเพลง “Pink Venom”
ช่วงเวลาที่โลกกำลังฮือฮา เจนนี่ ไม่ถึง 20 ชั่วโมงต่อมา แมนยูฯ ได้ซื้อตัว คาเซมิโร่ กองกลางมากความสำเร็จ จาก “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ด้วยราคาจ่ายทันที 60 ล้านปอนด์ กับนักบอลชาวบราซิเลี่ยน ที่อายุ 30 ปี
การตั้งคำถามต่างๆ นานา สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมสังคังที่ยังไม่เคยสมประกอบ และในแวดวงลูกหนังก็เช่นกัน ไม่ผิดที่ทุกคนจะเชื่อว่า......
แพง, แก่, เก่ง, แย่แน่, เกิดแน่, เก่งแน่ หรือเจ๊งแน่ มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน แต่ก็ต้องไม่ล้นขอบและเขต
แต่ในที่นี้ เรามาหาเหตุผลทางฟุตบอลกันดีกว่า
สิ่งแรกเลยก็คือ การเดินทางครั้งนี้ คาเซมิโร่ ขอตีโจทย์เอาไว้ 3 จุดหลักๆ
1.ตรงตามตำแหน่งที่ทีมยังขาดอยู่
2.นักเตะอยากได้ความท้าทายใหม่
3.การสร้างทีมของ เอริค เทน ฮาก มีแนวทางอย่างไรกันแน่
เริ่มต้นจากประเด็นแรกกันก่อน..............
นับตั้งแต่ “หลุมดำ” ที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จากทีมไปเมื่อปี 2013 เวลาผ่านมาได้ 9 ปี สโมสรต้องเปลี่ยนผู้จัดการทีมไปมากถึง 6 คน นั่นคือ เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล, โชเซ่ มูรินโญ่, โอเล่ โซลชา,ราล์ฟ รังนิค และเอริค เทน ฮาก คือคนล่าสุด
เซอร์เฟอร์กี้ สามารถทำงานผสมผสานทั้งการซื้อและค้นหาบุคคลที่ไม่มีตัวตนทำให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ แต่หลังจากนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องหนีให้ได้แม้กระทั่งเงาตัวเอง “จำเป็น” ที่จะต้องใช้เงินมากกว่าปั้นนักบอล เพราะเวลากับความสำเร็จเดิม มันข่มขี่ขยี้อยู่บนบ่า
การมาของ คาเซมิโร่ ในตำแหน่งนี้ถือว่า “พอดี” เนื่องจากนักบอลของแมนฯยูไนเต็ด ยุคปัจจุบัน “ไม่ตอบโจทย์” กับระบบการเล่นในลักษณะนี้ ที่จะต้องเป็น “ปักหมุด” อยู่หน้ากองหลัง
สถานการณ์บีบสั่งให้ “ต้องซื้อ” เพราะถ้ายังดันทุรังใช้เฟร็ด พร้อม สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ หรือสลับใช้วนลูปไปแบบนี้ ไม่มีทางรอด เพราะสองคนนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพาทีมประสบความสำเร็จในสถานการณ์ปัจจุบัน
เฟร็ด ไม่เคยสนใจในตำแหน่งตัวเอง ขณะที่ แม็คโทมิเนย์ เป็นกองกลางสายกระตุก และเหม่อลอยหลายสถานการณ์
ทีนี้น่าคิดเหมือนกันว่า ระบบจะใช้ 4-3-3 ให้มันเสถียรเลยหรือไม่ เพราะ คาเซมิโร่ เองก็ไม่ถนัดและไม่เคยเล่น 4-2-3-1 หรือ อลองไซด์ มิดฟิลด์มาก่อนเลยทั้งทีมชาติและสโมสร
ไม่ว่าลงด้วยความสำเร็จ หรือว่า ล้มเหลว สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน ก็คือ เป็นอีกครั้งที่ แมนยูฯ เข้าสู่ตลาดด้วยการใช้เงินเป็นจำนวนมาก
การจ่ายเงิน 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ทำให้ คาเซมิโร่ กลายเป็นนักบอลทำเงินสูงสุดอันดับ 3 ของสโมสร ต่อจากคริสเตียโน่โรนัลโด้ และดาบิด เด เคอา
เมื่อ แมนฯยูไนเต็ด สามารถเพิ่มค่าจ้างให้กับเขามากกว่าที่ เรอัล มาดริด จ่ายเกือบสองเท่า
มันสอดคล้องกับข้อ 2 หรือไม่!?!?!?!?
ข้อ 2 คือ ปิดตำนาน The “Bermuda Triangle” of football
“ดอน คาร์โล” คาร์โล อันเชล็อตติ ผู้จัดการทีมเรอัล มาดริด ยกย่องว่า กองกลางของเขาทั้ง 3 คน คาเซมิโร่, โทนี่ โครส และลูก้า โมดริช คือ “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา” แห่งวงการฟุตบอล
ทุกคนเชื่อแบบนั้นหรือเปล่า และอาจจะเป็นไปได้ขนาดไหนที่เราจะยกย่องว่านี่คือ “สามเหลี่ยม” ที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่งในโลกของฟุตบอลตลอดกาล กับความสำเร็จเคียงบ่าเคียงไหล่ แชมป์ลา ลีกา 3 สมัย กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มากมายถึง 5 ครั้ง รวมถึงแชมป์โกปา เดอ เรย์ 1 สมัย และสโมสรโลก อีก 3 สมัย
หลายคนเคยวิพากษ์วิจารณ์กันว่า คาเซมิโร่ โชคดีมาก ที่ได้มาเล่นร่วมกับ “สองโคตรบอล” อย่าง ลูก้า โมดริช ยอดเพลย์เมกเกอร์แห่งโครเอเชีย กับ โทนี่ โครส หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “ครูส คอนโทรล”
สำหรับผมมองเป็นเรื่องของความบังเอิญแบบพอดี หรือความตั้งใจให้ได้มาเจอกันมากกว่า
3 คนนี้ต้องทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน มีสัมพันธ์เกินกว่าคำว่าอันดีมาตั้งแต่ปางไหน ถึงได้มารวมกันได้แบบคนละทิศทาง ตามประวัติผ่านมา ก่อนจะมา “เสริมคุณค่า” ซึ่งกันและกัน
ในเคสนี้ถ้าเรานับเฉพาะเจาะจงลงไปที่ คาเซมิโร่
การเล่นร่วมกันของ 3 คนนี้ คาเซมิโร่ จะปักตรงกลาง คอยตัดเกมแล้วออกบอลง่ายๆ ซ้าย-ขวาตามจังหวะของเกม โดยมี โครส ยืนอยู่ด้านซ้ายมือ ขึ้นบนลงล่างและเป็นตัวทิ้งบอลยาวแบบได้เสียได้เสียว และโมดริช ที่ขึ้นลงไม่มีหมด พร้อมกับพาบอลตะลุย
ลงตัวอย่างมาก
หน้าที่ของ คาเซมิโร่ ชัดเจนที่สุดก็คือ ป้องกันเกมใกล้กรอบเขตโทษของตัวเอง และปิดไลน์หน้าคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ โดยไม่มีอะไร ให้ซับซ้อน “ไปกว่านั้น” เนื่องจากการเล่นที่มีมิติและสลับซับซ้อน เป็นหน้าที่ของ โครส กับ โมดริช
ทำให้คำถามมีอยู่ว่า คาเซมิโร่ มีข้อจำกัดจากแผนการเล่น หรือ ข้อจำกัดจากฝีเท้าของเขาเองกันแน่
ในการเล่นให้ เรอัล มาดริด นั้น คาเซมิโร่ คือคนที่เข้ามาช่วยให้แผนการเล่นของทีมในยุคของ ซีเนอดีน ซีดาน ลงตัว เนื่องจากทีมขาดไดนามิก ทำให้ทีมต้องปกป้องลึกๆ และกดดันสูงเท่านั้นเป็นครั้งคราว
หากว่าจะกล่าวถึง ราฟา เบนิเตซ กับ 6 เดือนแห่งความร้าวรานกับ เรอัล มาดริด สิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีมากๆ นั่นก็คือ ดึงตัวคาเซมิโร่ กลับมาจาก ปอร์โต้ และ ซีดาน เอามาปั้นให้เขานั้นทำงานหนัก เรียนรู้อย่างอดทน ถ่อมตนในการเล่น และกระตือรือร้นจนขึ้นมาเป็นระดับท็อปได้สำเร็จ
สิ่งหนึ่งคือ คาเซมิโร่ เล่นบอลด้วยความอดทน เพราะตัวเขาไม่ได้หลากหลายเหมือน โมดริช หรือจ่ายบอลตัดขั้วหัวใจได้อย่าง โครส
แต่สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ ปักหลัก ปะทะ และโควเวอร์ นี่คืองานของเขา ซึ่งจะเป็นงานประจำแน่นอนที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และจะต้องหนักกว่าเดิมแน่นอน เพราะตัวข้างๆ ของเขาไม่ใช่ โครส และ โมดริช อีกต่อไป
ที่ เรอัล ตอนนี้ เป็นหน้าที่ของ ออเรเลียน ชูอาเมนี,เอดูอาร์โด กามาวินก้า และดานี่ เซบาญอส ที่จะก้าวขึ้นมาร่วมเล่น และรับมือกับทีมนับจากนี้
ข้อที่ 3 ไม่ใช่เป็นการสร้างรากฐานทีม แต่เป็นการซื้อเพื่อปัญหาเฉพาะหน้าไปแล้ว
ว่ากันถึง คาเซมิโร่ กับ เฟร็ด ทั้งสองคนเล่นร่วมกันในทีมชาติบราซิล 20 นัด ชนะ 18 เสมอ 1 แพ้ 1 ยิงได้ 41 เสีย 5 คลีนชีต แต่ที่แพ้ 1 คือแพ้นัดชิงโคปา อเมริกา
เหตุผลที่หลายคนบอกว่า ทำไม เฟร็ด เล่นทีมชาติแล้วสดชื่นจาก เฟร็ด กลายเป็น เฟรช ก็คือได้เล่นกับ คาเซมิโร่ แต่ที่นี่คือ พรีเมียร์ลีก ที่ๆ สาหัสที่สุดตลอดเส้นทาง
คุณต้องพึงระวังทุกครั้งให้เหมือนกับได้ยินคำประกาศหลังจากลงจากรถไฟฟ้า หรือทูปที่เมืองผู้ดี............ Please mind the gap between train and platform
เขาจะเข้ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เมื่อไหร่ ได้เร็วขนาดไหน หรือได้อย่างไร สำคัญที่สุดก็คือ บอลของ เอริค เทน ฮากยังไม่แสดงอะไรออกมาให้ได้เห็นมากนัก แต่สิ่งที่จับจุดได้คือ“เพรสบน”
การเพรสบน หรือ เพรสสูง ต้องไปกันเป็นแผง และเมื่อ 5 คนแรก ไม่เคยลงมาเล่นเกมรับ Please Mind The Gap จะเด้งมาทันที
เทน ฮาก เน้นปรัชญาการกดดันสูงของเขา พื้นที่จะเปิด พร้อมกับจังหวะการเล่นของ คาเซมิโร่ ก็จะถูกเปิดเผยออกมา เนื่องจากบอลอังกฤษอาจไม่ได้เร็วมากกว่าสเปน เท่าไหร่หรอก แต่พิษสงมันร้ายกว่าเยอะมาก
ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ คนที่ เทน ฮาก เลือกลงมาเล่นร่วมด้วยจะเป็นใคร
เมื่อพื้นที่จะมีเยอะมาก ทุกคนที่มายืนตำแหน่งนี้ให้กับแมนยูฯ จะเกิดปัญหาในการคุมพื้นที่ช่องว่างจากมิดฟิลด์ตัวบนสู่พื้นที่ที่กำลังจะเป็นของ คาเซมิโร่
โดยที่ข้างซ้ายและข้างขวาของเขาจะไม่มีใครมายืนแนบให้แน่นอน
ทีนี้ไหวพริบ, อาจจะไม่เร็วแต่จังหวะก้าวเท้าที่ดี และการอ่านเกมที่ คาเซมิโร่ มีทีเด็ดตรงนี้ คงต้องนำมาใช้อีกเยอะ อีกทั้งต้องเรียนรู้ในการเล่นท่ามกลางแรงกดดัน ความคาดหวัง และวิกฤตที่นักเตะของยูไนเต็ด ต้องพบเจอมาโดยตลอด
สำหรับผมมองว่า ถ้าจะเพิ่มศักยภาพกันอย่างจริงจัง แค่คาเซมิโร่ ยังอาจจะไม่พอ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี