ในเกมเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์มีเกมน่าสนใจถึง 2 สนาม

มีข้อถกเถียงกัน นั่นคือเกมระหว่าง เชลซี แชมป์โลก กับ คริสตัล พาเลซ แชมป์โล่ห์ ในศึกลอนดอน ดาร์บี้ ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์

เหตุการณ์สำคัญนั่นก็คือ สกอร์ที่เสมอกัน 0-0 มีการยิงเข้าสู่ก้นตาข่ายอย่างสุดสวยจากฟรีคิกของ เอเบเรชี่ เอเซ่ ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ ของพาเลซ ที่พุ่งวาบเข้าเสียบก้นตาข่าย ในนาทีที่ 13

แต่ถูกริบโดย วีดีโอช่วยเหลือในการตัดสิน หรือ VAR เพราะผิดกฎในข้อ 13

ดาร์เรน อิงแลนด์ ผู้ตัดสินได้ตรวจสอบเหตุการณ์ ก่อนประกาศว่า นักเตะหมายเลข 6 ของทีมเยือน นั่นคือ มาร์ค เกฮี อยู่ห่างจากกำแพงในจังหวะยิงนั้น “ไม่ถึง 1 เมตร”

ยังผลให้ลูกฟรีคิกจึงกลายเป็น “indirect freekick” และนั่นคือไม่เป็นประตู

กฎของคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลนานาชาติ (ไอเอฟเอบี) แจงเอาไว้ว่า หากฝ่ายรับตั้งกำแพงป้องกันด้วยนักเตะอย่างน้อย 3 คน นักเตะฝ่ายรุกต้องอยู่ห่างจากกำแพงอย่างน้อย 1 เมตร จนกว่าลูกบอลจะถูกเล่น

กฎนี้เริ่มถูกนำมาใช้ในกฎของเกมในปี 2019-20

ดังนั้นประตูของเอเซ่ จึงถูกปฏิเสธ

ขณะที่ บิ๊กแมทช์เกมแรกของซีซั่น ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด จบลงด้วยชัยชนะของ อาร์เซนอล เหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0

ครึ่งแรก การเล่นของทั้งสองทีมมากันแบบเกมแพลนที่กุนซือต้องการ นั่นก็คือ รูเบน อโมริม 3-4-2-1 และมิเกล อาร์เตต้า 4-3-3

แมนฯยู ออกสตาร์ทได้ดี และเล่นตามพื้นที่ได้น่าสนใจ โดยเฉพาะการเคลื่อนตัว แต่มาเสียประตูจากปัญหาเดิม

1.ลูกสแตนดาร์ด

2.ผู้รักษาประตู

อาร์เซนอล ออกนำ 1-0 วิธีการเดิมที่ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือปืน เลือกไม่ทำหลังจากโดนวิจารณ์เรื่องการเข้าไปกดดันประตู

แต่หนนี้คือเข้าไปแค่คนเดียว แล้ว บายินดีร์ แกก็มือไม้อ่อนเหลือเกิน

เรียบร้อย โดน ริคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ปราการหลังอิตาเลียน เอาหัวจิ้มเผาขนตุงตาข่าย

ตั้งแต่ซีซั่้น 2023 เป็นต้นมา อาร์เซนอล ทำประตูจากลูกเตะมุมมาแล้วถึง 31 ประตู

ตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว แมนฯยู โดนนำในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปแล้วถึง 13 เกม

ครึ่งหลัง นึกถึงแมทช์ที่ อาร์เซนอล เตะกับ แมนฯซิตี้ เมื่อซีซั่นก่อน คือ พวกเขาซื้อเกมรับเน้น ๆ

ขณะที่เกมยูไนเต็ด ยกระดับน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ ในครึ่งหลัง โดยเฉพาะ ดาบิด ราย่า ซูเปอร์เซฟจากลูกโหม่งของ ไบรอัน เอ็มบูโม่

ประเด็นคือ มิเกล อาร์เตต้า เน้นให้ทีมปักอยู่ตรงหมุดของแต่ละคนแบบไม่มีสลับตำแหน่ง เพื่อลดและปิดช่องว่าง

พวกเขายังแสดงให้เห็นถึงขุมกำลังแนวลึกที่ดูจากตัวสำรองแล้ว จะเห็นว่า แข็งมาก และเป็นตัวจริงได้สบาย

ภาพรวมนั่นก็คือ แมนฯยูไนเต็ด เล่นได้ดีกว่าซีซั่นที่แล้ว ด้วยการจ่ายบอลที่แม่นยำ การเข้าใจในแทคติค และการประสานงานในเกม

การได้ตัว มาเตอุส คุนญ่า และ ไบรอัน เอ็มบูโม มาร่วมทีม ช่วยเกมรุกได้เยอะ ทำให้พวกเขาพัฒนาขึ้นมากทีเดียวในการเล่นแดนบน

การกลับมาของ ลุค ชอว์ และ เมสัน เมาท์ ก็ช่วยได้เช่นกัน ทั้งคู่เป็นผู้เล่นระดับท็อป

รูเบน อโมริม ใช้แทคติค ผสมกับเทคนิคกับนักบอลได้ดีขึ้น แต่สุดท้ายก็แพ้ พวกเขายังขาดอีกเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องความเด็ดขาด

ประเด็นคือ อโมริม ไม่ได้ทำตามสถานการณ์ ไม่ได้แก้ตามสถานการณ์ ที่สำคัญคือ จะเปลี่ยนตัวแค่ตามตำแหน่งไม่ได้

อิมแพคในเกม คือสิ่งสำคัญ

ขณะที่ สองกองหน้าที่ถูกจับตามอง ที่ถูกคว้าตัวมาในช่วงซัมเมอร์

วิคเตอร์ เยอเกเรส ชาวสวีเดน 63.5 ล้านยูโร (ประมาณ 2,413 ล้านบาท) + โบนัสตามเงื่อนไขต่างๆ อีก 10 ล้านยูโร (ประมาณ 380 ล้านบาท)

มาในสถานการณ์ที่ อาร์เซนอล ฝากความหวังเอาไว้ แต่ไม่มีจังหวะแม้แต่จะง้างเท้ายิง เนื่องจากทีมเล่นบล็อคต่ำ และไม่มีลูกครอสเข้าหาตัวเขา จึงทำอะไรไม่ได้ถนัด และได้เล่นไป 60 นาที

เบนจามิน เซสโก้ ชาวสโลวีเนีย 76.5 ล้านยูโร (ประมาณ 2,907 ล้านบาท) บวกแอดออนอีก 8.5 ล้านยูโร (ประมาณ 323 ล้านบาท)

ได้ลงสนามในนาทีที่ 65 มีโอกาสโหม่งทำประตูแต่ยังไม่ให้เคียง และเรายังไม่เห็นศักยภาพของเขา เนื่องจากลงมาในลักษณะของการเล่นที่ไม่ใช่แผนตั้งต้น

ทั้งสองคนต้องการการเวลาในการปรับตัว

สำคัญคือ แทคติคต่างหาก ที่ต้องการให้เขาเล่นยังไงให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

โค้ชทั้งสองคนทั้ง อาร์เตต้า และ อโมริม ได้คิดทำหรือยัง

#บีแหลมสิงห์™️✍????