เมื่อ “แผนที่โลก” ผนึกกับ “แผนที่ฟุตบอล” ทำให้กลายเป็น “ดาร์บี้แมทช์”
อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ก็ตามที่ ٤ ศรีจากเกาะมหาสมบัติโคจรมาเจอกัน มันเป็นแมทช์ที่ยิ่งกว่าคำว่า “ศักดิ์” และ “ศรี” เพราะนี่คือ “เดอะ แบทเทิ่ล ออฟ บริเตน”
ปี 1536 อังกฤษ ได้ เวลส์ มารวมตัวกัน กลายเป็น “คิงดอม ออฟ อิงแลนด์” จากนั้นก็คือ สกอตแลนด์ ส่วน ไอร์แลนด์เหนือ คือชาติสุดท้ายที่เข้าร่วมกับ อังกฤษ หลังจากการแยกไปเป็น สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่ง ไอร์แลนด์เหนือมาร่วมกับ อังกฤษ, สกอตแลนด์ และเวลส์ ให้เป็น “ยูไนเต็ด คิงดอม ออฟ เกรท บริเตน และไอร์แลนด์เหนือ”
ไม่น่าเชื่อว่า มาถึงปี 2022 อังกฤษ กับ เวลส์ กลายเป็นคู่แรกในประวัติศาสตร์ชาติยูเค ที่มาเจอกันเองในฟุตบอลโลก พร้อมกับต้องชิงกันเข้ารอบอีกด้วย
บอลโลก 21 สมัยที่ผ่านมา ไม่เคยมีทีมจากสหราชอาณาจักรเจอกันเองในรอบสุดท้าย ทั้งที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ารอบ โดย อังกฤษ เข้าร่วม 16 สมัย, สกอตแลนด์ 8 สมัย, ไอร์แลนด์เหนือ 3 สมัย และเวลส์ เป็นสมัยที่ 2
นาทีนี้เดิมพันสูง ทั้งสองทีม “ยังมีโอกาส” ในการเข้ารอบต่อไปพี่ใหญ่อย่างอังกฤษ ถือว่าเดิมพันสูงมาก เพราะพวกเขาแพ้ใครก็แพ้ได้แต่ถ้าไม่จำเป็นอย่าแพ้ เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สกอตแลนด์, ไอร์แลนด์,ไอร์แลนด์เหนือ
แน่นอนว่า เวลส์ คือหนึ่งในนั้น!
สองชาติที่ “เหมือนจะ” ไม่มีปัญหาอะไร อยู่ร่วมกันอย่างมีสุขมายาวนาน กับประเพณีคู่ขนานกันไป แต่คนจากสองชาตินี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง จนเป็นที่แซวกันว่า คุณสามารถเช็คสัญชาติได้เลยว่า บนรถไฟนั้นคนไหนมาจากไหน หากนั่งนิ่งๆ อ่านหนังสือ ดูโทรศัพท์ และละเลียดชา-กาแฟ คือคนอังกฤษ แต่ถ้าหากคุยแบบน้ำไหลไฟดับคือ เวลส์
คนอังกฤษมีช่องว่าง, มีชั้นเชิงและมากยิ่งนักกับการไว้ตัว ตรงข้ามกับชาวเวลส์ หรือ คัมรี ที่รู้จักความเป็นมิตร, ช่างเจรจา และกล้าที่จะให้ความสนิท
ถ้าเรื่องกีฬา คนอังกฤษบ้าบอล สนามกีฬาประจำชาติคือนิว เวมบลีย์ มีรูปปั้น บ็อบบี้ มัวร์ส เป็นหลักชัย แต่คนเวลส์คลั่งรักบี้ ที่พวกเขาเรียก “รุกบี้” หน้าสนามมิลเลนเนียม สเตเดี้ยม มีรูปปั้นของ เซอร์ทาซเคอร์ วัตกินส์ ประธานสมาคมรักบี้เวลส์ ระหว่างปี 1993-2004 ตั้งตระหง่านให้เห็นเด่นสง่า
ฟุตบอลในเวลส์ แทบจะรูดซิบปากสู้กับ อังกฤษ ไม่ได้ เพราะมีการพะยี่ห้อการเป็น “แชมป์โลก” มาแล้ว 1 สมัย ปี 1966 แต่ในยุค 80 มีนักบอลจากแคว้นเวลส์ ผงาดมาดังในอังกฤษมากมายที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นยุคทองของชาวเมอร์ซี่ย์ไซด์ ที่เป็นปฏิปักษ์ กับคนเมืองโดยตรง เช่น เอียน รัช, เนวิลล์ เซาธ์ทอลล์, เควิน แรตคลิฟฟ์,มาร์ค ฮิวจ์ส ที่มากวาดทุกแชมป์
อังกฤษ ยังเคยเสียหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลในเวลาต่อมานั่นคือ “ไรอัน วิลสัน” ดาวรุ่งฝีเท้าดีไปเล่นให้เวลส์ ด้วยเหตุผลการหย่าร้างซึ่งเด็กคนนั้นโด่งดังเป็นพลุแตก มีชื่อว่า “ไรอัน กิ๊กส์”
ด้วยความที่ เวลส์ นั้น ไม่หือไม่อือจนเหมือนจะไม่เป็นพิษภัย หลายอย่างที่ อังกฤษ ทุ่มเทให้ดูเหมือนว่า “ไปในทางเดียวกัน” หนึ่งในนั้นทำให้เลือก มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม จัดฟุตบอลถ้วยเอฟเอ คัพ กับ ลีกคัพ อยู่หลายปีในช่วงที่ เวมบลีย์ ปรับปรุงโฉม
เอฟเอ เลือกที่จะไม่ไปที่สกอตแลนด์ ทั้งที่มี แฮมป์เด้น พาร์คที่ควรค่า โดยให้เหตุผลกำปั้นทุบดินว่า ร่วมโปรโมทสนามใหม่ให้กับเวลส์ (ดีกว่า)
อย่างไรก็ตามที ความสัมพันธ์ค่อนข้างซับซ้อนของสหราชอาณาจักร มักจะมี “คำถาม” มากกว่า “คำตอบ” ลึกๆ แล้วไม่ว่าใครในเกาะ แม้กระทั่งเวลส์เองด้วยซ้ำ จะมองคนอังกฤษเป็นผู้รุกรานมาโดยตลอด รวมถึงเรื่องของความแปลกแยกเหลื่อมล้ำของชนชั้นหรือการเข้ามาทำงานก็จะทำงานที่คนอังกฤษไม่ทำ
บันทึกประวัติศาสตร์ชาตินักรบ “พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1” ทรงยึดแคว้นเวลส์ในค.ศ. 1277 เหลือดินแดนเล็กน้อยให้กษัตริย์เวลส์ปกครองและถูกลดขั้นเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ แต่ก็ยึดตำแหน่งมาให้พระโอรสในที่สุด กลายเป็นตำแหน่งรัชทายาทอังกฤษในปัจจุบัน นั่นเป็นอาทิ
เรื่องราวต่างๆ มันลึกฝังราก วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ กวีเอกของโลกชาวอังกฤษ เคยมีผลงานเรื่อง Henry V เขาแต่งให้ โอเว่น เกลนเดาเออร์วีรบุรุษตลอดกาลของเวลส์ ว่า เก่งกาจและสุดยอด
ในช่วงปี ค.ศ.1400-1415 เกลนเดาเออร์ หรือ เกล็นโดเวอร์ ที่ปราบดาภิเษกเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นเวลส์ ที่เป็นคนเวลส์แท้ๆ คนสุดท้ายที่ดำรงตำแหน่งนี้ สร้างตำนาน The Glyndwr Rising, Welsh Revolt หรือสงครามครั้งสุดท้าย(Last War of Independence) ด้วยการงัดข้อต่อสู้เพื่อปลดแอกการปกครองจากอังกฤษในแคว้นเวลส์ โดยเริ่มต้นสู้กับ อังกฤษ เมื่อ 16 กันยายน ค.ศ.1400
แต่ไม้ซีกงัดไม้ซุง สู้ไปไม่นาน กองทัพเวลส์ก็ขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ในการต่อสู้ ทั้งเครื่องยิงกระสุน หรือ เรือรบ ซึ่งต่างจากอังกฤษ ที่มีแสนยานุภาพพร้อมกว่าเยอะ ก่อนที่เวลส์จะถูกตีแตกขับออกจากที่มั่นสุดท้ายในปี 1409
เกลนเดาเออร์ หนีการจับกุมได้สำเร็จ ก่อนจะปรากฏตัวอีกทีในปี 1412 และยืนยันว่า แม้จะถูกบีบให้รับสินบนจำนวนมาก แต่สินบาทคาดสินบนไม่สามารถซื้อคนอย่างเขาได้ เขาปฏิเสธการขอนิรโทษกรรม และเสียชีวิตในปี 1415
เก่งขนาดนี้ ใจถึงขนาดนี้ ยังมิวายโดนเขียนในนิยายว่า เป็นแค่ “คนที่สามารถจะเรียกภูติผีปีศาจได้ทุกเมื่อ” เท่านั้น......
อีกหลายร้อยปีต่อมา พรรคการเมืองหัวรุนแรงแห่งเวลส์ ได้สถาปนา เกลนเดาเออร์ ให้เป็นบิดาแห่งชนชาติเวลส์ทั้งปวง
ในเชิงของฟุตบอล ความดุดันของสองชาตินี้ที่รับรู้ได้คือ เกมระดับสโมสร ตัวอย่างคือเกมระหว่าง “บอลชายแดน” นั่นก็คือ เชสเตอร์ กับ เร็กซ์แฮม ถูกขนานนามว่า “บับเบิ้ลแมทช์” เป็นฟุตบอลที่ต้องเช็คตั๋วกันตั้งแต่เดินทางออกจากบ้าน ใครไม่มีตั๋วห้ามมาและต้องนั่งรถมาพร้อมกัน โดยมีตำรวจมารักษาความสงบแบบยกกองร้อย
การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เกิดขึ้นในทีมฟุตบอลสหราชอาณาจักร หรือ TEAM GB ในศึกโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่รวมตัวหนแรกในรอบ 52 ปี ปรากฏว่า สมาคมฟุตบอลแห่งเวลส์ ประกาศยืนยันว่า จะไม่ยอมให้ แกเร็ธ เบล มาแข่ง จากนั้นมีการจับภาพได้ว่า 3 แข้งชาวเวลส์ คือ โจ อัลเลน,เคร็ก เบลลามี และกัปตันทีมอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ ไม่ยอมร้องเพลงชาติ หรือ “ก๊อด เซฟ เดอะ ควีน(เวลานั้น)” ในนัดเปิดสนาม
แน่นอนว่า “ฟุตบอล” มีอะไรที่มากกว่าเกมในสนาม ทั้งเรื่องของศักดิ์ศรี, ความรัก, ความเกลียดชัง และชนชั้นวรรณะ
ยิ่งเดิมพันสูงแบบนี้ กับการเข้ารอบแบบนี้ยิ่งสะเด่า เพราะ อังกฤษ « มี 4 แต้ม เวลส์ มี 1 แต้ม ส่วนเพื่อนร่วมสายน่าสนใจเพราะ อิหร่าน มี 3 แต้ม ต้องชนกับคู่ปรับทางการเมืองอย่าง สหรัฐ ที่มี 2 แต้ม
เวลส์ เคยต่อกรอย่างห้าวหาญ จนหนังสือพิมพ์เขียนว่า เหมือนกับพวกเขาคือ “เกล็นเดาเออร์แห่งสนามฟุตบอล” ในบอลยูโร 2016 ที่ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ แต่ครั้งนั้นในรอบแรกพวกเขาก็แพ้ อังกฤษ 1-2
ครั้งนี้ อังกฤษ ออกสตาร์ทยิงครึ่งโหล ก่อนจะกระสุนหมดในนัดที่แล้ว ส่วน เวลส์ ดูเหมือนว่านักบอลจาก 6 ปีก่อนไม่ได้มีฤทธิ์เหมือนเดิมดังนั้นถ้า อังกฤษ ชนะถือว่าเป็นสิ่งที่ปกติ
แต่ถ้าแพ้ขึ้นมาล่ะ........................!?!?!?
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี