เป็นใครจะขาย!?!?!?!.......เรื่องอะไรจะขาย!!!!!!
จะขายทำไม เมื่อสถานการณ์ในเชิงบวกแบบนี้!!!
การตีคู่กันตลอดชีพของคู่ปรับมหากาฬแห่งวงการลูกหนังอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาถึงนาทีนี้มีข่าวมาตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมา
เกี่ยวกับการเปลี่ยนมือเจ้าของทีมใหม่ของทั้งสองทีมที่มาพร้อมกันแบบเหลือเชื่อ และข่าวตีโครมโหมกระหน่ำเข้าฟากฝั่งซ้ายทีขวาที
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจและตลกที่สุดคงไม่พ้นการโยงว่า มีผู้ต้องการซื้อทั้งสองทีมนี้พร้อมกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทั้งทางนิตินัย และพฤตินัย
นัยไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น
ลิเวอร์พูล ดูเหมือนว่า ทุกอย่างจะค่อยๆ จบลงไปหลังจากที่รู้กันทั้งรู้ว่า ไม่มีทางที่ เฟนเวย์ จะปล่อยสโมสรออกไปแน่ คิดง่ายนิดเดียวก็คือ “หลังคายังไม่ได้ส่งมอบ” ทางฝั่งอัฒจันทร์แอนฟิลด์ โร้ด ที่รอเวลาแล้วเสร็จ
สถานการณ์ต่างๆ ยิ่งคลี่คลายลงไป หลังจากข่าวที่ออกมาตลอดว่า เฟนเวย์ ต้องการที่จะ “ระดมทุน” มากกว่า “ขายทีม”
ภาพยิ่งชัดเจนเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อแนวรบฝั่งตะวันออกกลาง ยืนยันว่า เฟนเวย์ ประสงค์ที่จะรับเงินมากกว่าประสงค์จะเสียอำนาจบริหาร แน่นอนว่า อยู่ๆ ใครจะมาเอาเงินให้ 2 พันล้านปอนด์ แล้วไม่ได้อำนาจอะไรเลย
รายงานน่าสนใจว่า เจ้าของทีมลิเวอร์พูล (Fenway Sports Group) ต้องการแค่เพียง “โยนหินถามทาง” หรือ “หยั่งเสียง” กับการขายลิเวอร์พูล เท่านั้น!?!?!?
เรื่องนี้ตามคำกล่าวของอดีตประธานสโมสร เซอร์ มาร์ติน บรอจตัน ที่ว่ากันว่า FSG ยังจะไม่ไปไหน เพราะมีการใช้คำว่า “To test the waters”
“หากมีนักลงทุนที่ต้องการเข้ามา FSG ก็ยินดีจะประเมินสิ่งนั้นอย่างแน่นอน และเราจะไม่แปลกใจเลยหากไม่ได้รับเช่นกัน ซึ่ง FSG ยังคงถือมันไว้ จุดนี้ก็สบายดีเหมือนกัน ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”
“ผมมองว่า พวกเขาอยู่ที่นี่มา 13 ปีแล้ว และพวกเขาได้เห็นข้อตกลงของเชลซี และผมคิดว่า พวกเขารู้ถึงราคาที่อาจสูงกว่าที่พวกเขาคิดไว้เกี่ยวกับมูลค่าที่เพิ่มขึ้นที่พวกเขามีในช่วงเวลานั้น ดังนั้น พวกเขาจึงพูดว่า “ทำไมเราไม่ทดลองตลาด” ดูบ้าง”
มันคือการ “หยั่งเชิง” และประเมินสถานการณ์
จอห์น เฮนรี่(ซ้าย) เจ้าของลิเวอร์พูล กับ ตระกูลเกลเซอร์ เจ้าของแมนยูฯ ถูกกดดันอย่างหนักเรื่องการขายทีม
“แน่นอนว่า มันอาจสมเหตุสมผลที่ FSG จะออกจากช่วงใดช่วงหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในอีก 10 ปีข้างหน้าทุกคนก็ออกไปในบางช่วง แต่ผมคิดว่ามันสำคัญสำหรับพวกเขาที่พวกเขาเป็นผู้ดูแล และบทบาทนั้นคือ ส่งต่อไปยังคนที่เหมาะสมในอนาคต”
“ผมคิดว่าพวกเขาจะมองหาใครสักคนที่คิดทำงานระยะยาว ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะมองหาคนที่จะใช้ “เงินโง่ๆ”เพียงแค่มาซื้อทีมซื้อนักบอลไปเรื่ิอยๆ เปื่อยๆ ผมคิดว่าจอห์น เฮนรี่ และทอม เวอร์เนอร์ ต้องการที่จะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า”
คำให้สัมภาษณ์ของ บรอจตัน ดูจะสอดคล้องกับ แซม เคนเนดี้ CEO ของ FSG ที่กล่าวว่าเขาไม่รู้ว่าการลงทุนจากหุ้นส่วนใหม่ในลิเวอร์พูล จะมาถึงหรือไม่ จะมาถึงเมื่อไหร่?!?!?
“เราเปิดกว้างด้วยความเต็มใจที่จะลงทุนในสโมสรจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นผมไม่รู้ เราจะมาดูกันว่าอนาคตของทีมจะเป็นเช่นไร แต่มันเป็นธุรกิจที่น่าทึ่ง”
“เราโฟกัสอย่างมากกับวิธีที่เราสามารถช่วยเพิ่มรายรับที่ลิเวอร์พูล และการเติบโตที่เราได้เห็นในลิเวอร์พูลนั้นไม่ธรรมดา ผมคิดว่านั่นเป็นเพราะตลาดอย่างสหรัฐฯ ความตื่นเต้นในลีกนี้”
“เรามีวิสัยทัศน์ร่วมกันกับพันธมิตรทั้งหมดของเรา และนั่นคือระยะยาว จอห์น เฮนรี่ และทอม เวอร์เนอร์ ทำสิ่งนี้มา 21 ปีแล้ว แต่คุณคิดว่าพวกเขาทำมา 21 วันเท่านั้น ต้องไม่ลืมว่าเรากระตือรือร้นและตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่ FSG และคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป”
……ฟังดูเหมือนว่า FSG ไม่ต้องการขาย และพวกเขาแค่ต้องการการลงทุน แต่พวกเขาไม่แน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่
โยนหินถามทาง = เพื่อให้ได้ทราบว่าผู้คนจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อนที่จะทำจริง
เชื่อว่า ทุกคนอยากได้ยินเป้าหมายและแผนการของเขาสำหรับลิเวอร์พูล
จากปาก จอห์น เฮนรี่ มากกว่า เคนเนดี้
ขณะเดียวกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ฝ่าวิกฤตหนักหนาสาหัส ทั้งการตะลุยลงไปสนามเพื่อยุติเกมแดงเดือด เมื่อ 2 ซีซั่นก่อน กำลังมีข่าวแรงแซงมาว่า กำลังจะมีเจ้าของใหม่
ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 มีข่าวว่า ซาอุดีอาระเบีย ได้เทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด โดย โมอาด มาห์ชูบ บุรุษที่ยืนยันตนเองว่า เขาคือ ผู้อำนวยการด้านกิจการของรัฐบาล,ผู้ประสานภายนอก และคนดูแลเรื่องการติดต่อส่วนตัว
ส่วนในโลกออนไลน์สำคัญอย่าง “ทวิตเตอร์” เขาบอกว่าตัวเองเป็นนักข่าว และผู้อำนวยการด้านการประชาสัมพันธ์ส่วนตัวของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย และเปิดเผยว่า นักลงทุนชาวซาอุดีอาระเบียได้ทำข้อตกลงซื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เวลานั้นมีกระแสลืออย่างต่อเนื่องว่า โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย ทรงสนพระทัย ที่จะเข้าเทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยจะให้ตัวแทนของพระองค์ทำการเข้าซื้อ
มีภาพของ ริชาร์ด อาร์โนลด์ ผู้อำนวยการด้านการจัดการของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็โผล่ไปที่ซาอุดีอาระเบีย มีคนจากเครือราชวงศ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารและกีฬารวมอยู่ด้วย
มาห์ชูบ ได้โพสต์ในทวิตเตอร์ พร้อมกับมีข้อความของเขาที่ว่า นักลงทุนชาวซาอุดีอาระเบียได้ซื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากคณะตัวแทนของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้เดินทางมาที่ซาอุดีอาระเบีย ตอนนี้ต้องรอดูการประกาศอย่างเป็นทางการจากสโมสรเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการเจรจา
เรื่องดังกล่าวถูกโยงว่า มันสอดคล้องกับการที่เจ้าชายบิน ซัลมาน ทรงออกมาโพสต์ถึง แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2019 ถึงการเข้าไปทำงานที่แมนฯยูไนเต็ด
สุดท้ายเรื่องดังกล่าวเงียบไป อาจเป็นเพราะมีการระบาดของโรค ทำให้ทุกอย่างจบไปในเวลานั้น
สำหรับผมแล้ว คิดว่าการซื้อขายสินค้ามูลค่ามหาศาลระดับนี้ ไม่ได้ง่ายอย่างพลิกฝ่ามือ และมีหรือที่ตระกูลเกลเซอร์ จะกระหายที่ขายทีมในช่วงเวลานี้
ในช่วงที่ แมนฯยู กำลังจะกลับมาทำเงินทำทองให้กับพวกเขาแบบเป็นกอบเป็นกำ เพราะผลงานของทีมตอนนี้ไม่เห็นจำเป็นจะต้องขาย ไม่เห็นจำเป็นต้องผ่องถ่ายไปให้คนอื่น
มูลค่า 5 พันล้านปอนด์เนี่ยนะ!!!! ไม่มีทางเลย ผมมองว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มูลค่าถ้าจะซื้อจะขายกันจริงๆ ไม่มีทางต่ำกว่า 8 พันล้านปอนด์
โอกาสทางธุรกิจของโอลด์ แทรฟฟอร์ด มีมากกว่าที่อื่น ที่นี่คือแลนด์มาร์ค และเป็นอีกหนึ่งในอาณาจักรสุดคลาสสิกของโลกฟุตบอล ที่ล้ำกว่าคำว่าสนามฟุตบอล
ด้านนอกสามารถขยับขยายได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขยายสนามในอนาคต การเพิ่มระบบสาธารณูปโภคใหม่เป็นอาทิ
แม้ว่า เชลซี จะขายได้ 4 พันล้านปอนด์ อาจจะอยู่ในย่านคนรวยในแถบเคนซิงตัน หรือ ฟูแล่ม ณ มหานครลอนดอน แต่รอบข้างทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ตรงกันข้ามกับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มี
ต่อให้ไม่อยากให้อยู่กับทีมอีกต่อไป แต่การขายทีมระดับนี้แบรนด์ระดับโลกขนาดนี้
ไม่คำว่า ง่าย อยู่ในสารบบ
ตัวเต็งที่มาแรงตอนนี้มีทั้งหมด 5 ชื่อ นั่นคือ เจ้าชายอัลวาลีด บิน ทาลัล อัล ซาอุด จากซาอุดีอาระเบีย
Investment Corporation of Dubai เป็นกองทุนความมั่งคั่งของรัฐบาลดูไบ
ไมเคิล เดลล์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่หลากหลาย จากสหรัฐอเมริกา
ที่มาแรงสุดๆ คือ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศอังกฤษ เจ้าของบริษัทเคมีภัณฑ์อินนิออส ที่เคยยื่นข้อเสนอซื้อ เชลซี มาแล้ว
เช่นเดียวกับ Qatar Investment Authority (QIA) คือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของกาตาร์ ที่ “ตามข่าว”คือ พอตกลงกับ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ก็มาหา แมนยูฯ
ประเด็นก็คือ ตกลงแล้วมีคนรักฟุตบอลจริงหรือไม่?!?!?
เจ้าของทีมที่รวยที่สุดในพรีเมียร์ลีก
1.นิวคาสเซิ่ล : ซาอุฯ พับลิก อินเวสต์เมนท์ ฟันด์ 320 พันล้านปอนด์
2.แมนฯซิตี้ : ชีค มานซูร์ 14.6 พันล้านปอนด์
3.อาร์เซน่อล : สแตน โครเอนเก้ 8.88 พันล้านปอนด์
4.ฟูแล่ม : ซาฮิด ข่าน 6.31 พันล้านปอนด์
5.แอสตัน วิลล่า : นาสเซฟ ซาวิริส 6.22 พันล้านปอนด์
6.คริสตัล พาเลซ : จอช แฮร์ริส 4.56 พันล้านปอนด์
7.สเปอร์ส : โจ ลูวิส 4.31 พันล้านปอนด์
8.แมนยูฯ : ตระกูลเกลเซอร์ 3.90 พันล้านปอนด์
9.เชลซี : ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ 3.73 พันล้านปอนด์
10.วูล์ฟส์ : กั๊วะ กวงเช็ง 2.82 พันล้านปอนด์
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี