ผมได้ไปอังกฤษมา 23/9/-1/10/2566 โดยก่อนหน้านี้ 20-22 กันยายน ได้เดินทางไป รพ.สุราษฎร์ธานี รพ.หลังสวน และ รพ.ระนอง และหลังกลับถึงประเทศไทย 15.00 น. ของวันที่ 2 ตุลาคม วันที่ 3 ต้องไปพัทยา และวันที่ 5 ตุลาคม ต้องไปเชียงใหม่ เช้า-เย็นกลับ
ผมเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะเดินทางไปยังที่ต่างๆ เหล่านี้ โดยสมองยังทำงานดี มีความสุขสบาย กินได้ อยู่ได้ ถ่ายได้ นอนได้ดีพอสมควร
ทุกๆ คนคงได้ยินคำว่า jet lag มาบ้างแล้วนะครับ
ก่อนที่จะไปถึงวิธีดูแลตนเองของผมจากอาการของ jet lag ผมขอกล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับ jet lag นะครับ
Jet lag คือ อาการที่เกิดขึ้นเมื่อเราเดินทางข้ามเขตเวลา (time zone) อย่างน้อย 2 เขตเวลาขึ้นไป เช่น เดินทางไปญี่ปุ่นที่เวลาเร็วกว่าไทย 2 ชม. หรือไปอังกฤษที่เวลาช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง ปกติการเดินทางไปประเทศที่มีเวลาแตกต่างกับประเทศที่เราอยู่ ยิ่งแตกต่างมากจะยิ่งมีอาการของ jet lag มาก เช่น ในการไปญี่ปุ่น หลายๆ คนอาจไม่มีอาการ jet lag แต่หลายๆ คนถ้าไปอังกฤษ ถ้าไม่ได้เตรียมตัว อาจมีอาการ jet lag ปกติการฟื้นตัวจากอาการ jet lag จะใช้เวลา 1 วันต่อ 1 ชั่วโมงของเวลาที่แตกต่างกันของ 2 ประเทศ
Jet lag มีความสำคัญมากสำหรับนักกีฬาที่ต้องมีความสมบูรณ์เต็มที่ในวันที่จะมีการแข่งขัน รวมทั้งผู้บริหารประเทศ นักธุรกิจ ที่บินไปประชุมเรื่องต่างๆ ที่มีความสำคัญมาก ที่ต้องมีสภาพสมองที่สด สมบูรณ์ที่สุด
สาเหตุของอาการ jet lag เกิดขึ้นเพราะร่างกายเรามีนาฬิกาชีวิต (circadean rhythms) ซึ่งจะทำให้เราตื่น กิน ถ่าย นอน เป็นเวลา ฉะนั้นเมื่อเราเดินทางจากประเทศไทยไปอังกฤษที่มีเวลาช้ากว่าประเทศไทย6 ชั่วโมง เช่น ไปถึงอังกฤษเวลา 19.00 น. แต่เป็นเวลาตี 1 ของวันรุ่งขึ้นในกรณีนี้ คือ วันที่ 24 ฉะนั้นเราจะรู้สึกง่วงมากทั้งๆ ที่เป็นเวลา 19.00 น.เท่านั้น
อาการของ jet lag คือ สมองตื้อ สมองไม่ค่อยทำงาน ไม่สดใส คิดอะไรไม่ออก ช้า อ่อนเพลียไม่สบาย มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ไม่หิวกินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย อารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับหรือตื่นเร็วไป อาการมักเกิดขึ้นภายใน 1-2 วันหลังการเดินทาง การเดินทางไปทิศตะวันออกจะขาดทุนเวลา เช่น จากอังกฤษมาไทย (ไทยเร็วกว่าอังกฤษ 6 ชั่วโมง) จะมีอาการ jet lag มากกว่าการไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเราจะได้กำไรเวลา เช่นไปอังกฤษได้เวลาเพิ่ม 6 ชั่วโมง
ปัจจัยที่มีผลต่อนาฬิกาชีวิต คือ แสงแดด (light) ซึ่งจะมีผลต่อการผลิต หลั่ง melatonin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อการทำงานของเซลล์ทั่วร่างกาย โดยแสงจะมีผลต่อตาที่จะส่งข้อความไปที่ hypothalamus ในสมอง ซึ่งจะส่งข้อความไปที่ pineal gland ให้ผลิต melatonin ถ้ามีแสงน้อย เช่น เวลากลางคืน pineal gland จะผลิต melatonin มาก ถ้ามีแสงมากเวลาตอนเช้า pineal gland จะหลั่ง melatonin ออกมาน้อย melatonin จะช่วยทำให้ร่างกายนอนหลับได้ตามนาฬิกาชีวิต
ฉะนั้นการที่เราถูกหรือไม่ถูกแสง จะช่วยทำให้เรานอนหรือยังไม่ง่วง ได้ดียิ่งขึ้น ฉะนั้นเวลาของการถูกแสงจะมีความสำคัญมาก
ความดันอากาศและความชื้นในเครื่องบินมีความสำคัญมาก ปกติบนเครื่องบินจะมีความชื้นต่ำ ฉะนั้นเราควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ นอกจากนี้แอลกอฮอล์ caffeine (กาเฟอีน) จะทำให้มีการปัสสาวะบ่อย จึงนำไปสู่ภาวะขาดน้ำด้วย การขาดน้ำจะยิ่งทำให้มีอาการของ jet lag มากยิ่งขึ้น
ผู้ที่บินบ่อยๆ เช่น นักบิน เจ้าหน้าที่เครื่องบิน นักธุรกิจ มักจะมีอาการ jet lag มากกว่าคนธรรมดา คงเป็นเพราะต้องปรับตัวตลอดเวลาจนร่างกายงงไปหมด ปรับไม่ได้สักที?!
ผู้สูงอายุก็มีปัญหา jet lag มากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย
ผลของ jet lag คือ อาจทำให้การทำงาน ปฏิบัติตนเองไม่ดีเท่าที่ควร รวมทั้งอันตรายในการขับรถด้วย และแน่นอนมีความสำคัญในการแข่งขันกีฬา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี