เพียงเสี้ยววินาที สามารถตัดสินอนาคตของอะไรหลายสิ่งหลายอย่างได้ในทันที

ตัวอย่างมีให้เห็นจากเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สุดสัปดาห์นัดซูเปอร์ซันเดย์ เมื่อเราได้เห็นว่า “เสี้ยววินาที” สำคัญยิ่ง

แบบอย่างมาจากเกมที่ แมนฯยูไนเต็ด เอาชนะ เวสต์แฮม สกอร์ขาดลอย 3-0 ถ้าเห็นสกอร์แล้วไม่ได้ดูเนื้องาน คงจะคิดได้ในทางเดียวว่า แมนยูฯ เหมือนอยู่ในครัวกำลังจะทำเมนูเด็ดประเภทยำ นั่นคือมีเท่าไหร่ก็ใส่ไปทุกอย่าง

แท้ที่จริงสำคัญในเกมคือการตัดสินใจในช่วงวินาทีที่ เอแมร์ซอน ดันไปเลือกยิงและโด่งออกไป แล้วจากนั้นไม่กี่วินาทีถัดมาเขาพลาดและทีมเสียประตู

จนมาถึงเกมที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ปัญหาของลิเวอร์พูล มีให้แก้อยู่ทุกนัดที่ลงสนาม ในซีซั่นสุดประหลาด “ฟ้าผ่ากลางกบาล” ไปหลายรอบหลายเรื่อง และอยู่ในช่วงเวลาแห่ง “รถไฟเหาะตีลังกา” ตลอดทุกเส้นทาง

เกมนี้มีปัญหาถึงสามจุดด้วยกัน “หลัง-กลาง-หน้า” ไปจนถึงเรื่องเศร้าที่มาแบบคาดไม่ถึง

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จำเป็นต้องลงสนามทั้งที่ชัดเลยว่า ฟิตไม่พอเนื่องจาก คอนนอร์ แบร๊ดลีย์ น้องนุชคนล่าสุดที่กำลังมาดีๆ แต่คุณพ่อเสียชีวิต

กองกลางเมื่อขาดกัปตันทีมชาติฮังการี โดมินิค โซโบสไล ที่เจ็บซ้ำอีกครั้ง หลุดจากทีม และแดนหน้าขาด ดาร์วินนูนเญซ ที่โดนเหยียบเท้าบวมทำให้ไม่สามารถสตาร์ทตัวจริงได้

ชัดเจนมากว่ามีปัญหาในแดนหน้า ซึ่งความก้าวร้าวและกราดเกรี้ยวหายไปหายไปไปเลย

ขณะที่ อาร์เซน่อล มีทีมที่ครบกว่า และสถานการณ์มันอาจจะทำให้ มิเกล อาร์เตต้า ลงตัวในการจัดทีม เพราะอัดกลางตามคาด จอร์จินโญ่ ตัวจริง แล้วดัน ไค ฮาแวร์ตซ์ ยืนหน้า แทน กาเบรียล เชซุส ที่เจ็บเข่าพอดิบพอดี

วิธีการรับมือหน้าไลน์เปลี่ยนไป จากสถานการณ์มันพอดีทำให้ต้องจัดไลน์อัพนี้ลงสนาม และสิ่งที่มันทำให้ตรงกับวลีไทยที่ว่า “เข้าทางปืน” อันเนื่องมาจากพวกเขาได้ประตูเร็ว

ยิงเมื่อได้ประตูออกนำเร็วจาก บูคาโย่ ซาก้า ทำให้ อาร์เซน่อล สามารถทำได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการนั่นแหละคือลงแพ็กเกม แล้วรอสวนกลับในพื้นที่ต่างๆ เพราะมันบีบให้ ลิเวอร์พูล ต้องเดินหน้าเต็มตัว

อย่างไรก็ตาม “ความผิดพลาด” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะ “ส่วนบุคคล” มักจะชี้ชะตาเกมลักษณะนี้จริงๆ

ใครจะคิดว่า แนวรับปืนจะพลาดแบบนั้น จนทำให้บอลมาโดน กาเบรียลมากัญเญซ ตุงตาข่ายตัวเองในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก 45+3 ทำให้สกอร์กลับมา 1-1

แล้วใครจะไปคิดว่าสองนักฟุตบอลในเกมรับที่เป็นหัวใจสำคัญของทีมลิเวอร์พูล มาโดยตลอดอย่าง เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค กับ อลิสซอน เบ๊คเกอร์ จะพลาดแบบนี้ ในเกมใหญ่แบบนี้

จะพลาดแบบนี้ไม่ได้นะ….ไม่ควร

หลายมุมมองบอกว่า อลิสซอน เป็นผู้เออเรอร์ แต่ก็ต้องทวงถาม ฟาน ไดจ์ค ว่า ทำไมคุณไม่เตะทิ้ง

เกมใหญ่พลาดกันง่ายๆ ยิ่งเหลือ 10 คนยิ่งหนัก และเสียประตูง่ายย้ำซ้ำทวน

สุดท้ายเมื่อดูในเนื้องาน เห็นเหมือนกันว่า เป็นอีกหนึ่งวันที่ ลิเวอร์พูล เล่นได้ค่อนข้างแย่มากโดยเฉพาะการพาบอลเข้าสู่พื้นที่สุดท้ายแทบไม่มีเลย

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือหงส์ บอกว่า “เราผิดแผน เราไม่ได้ใช้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในแบบที่เราต้องการ เราอยากให้ เทรนท์ ออกมาเล่นตรงริมเส้นมากกว่านี้’

“ก่อนลงเล่นน่ะมันมีหลายอย่างที่คุณคิดว่ามันน่าจะออกมาดี แต่สุดท้ายแล้วมันไม่เป็นแบบนั้นเลย ดังนั้น ผมมั่นใจว่าเราจะสามารถกลับมาเล่นได้ดีกว่านี้แน่นอน”

ลิเวอร์พูล เหมือนจะกลับมาเล่นได้น่ากลัวในครึ่งหลัง แต่พอเสียประตูง่ายๆ ในนาทีที่ 67 ให้กับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ทุกอย่างคือจบทันที

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชมก็การปิดแผงกองกลางของอาร์เซน่อล พวกเขาทำได้ดีตลอดทั้ง 90 นาทีจริงๆ รู้จักคำว่า อดทนมากขึ้น จนกระทั่งได้ลูกที่ 3 มิเกล อาร์เตต้าตัดสินใจไม่ทัน สวมวิญญาณ โชเซ่ มูรินโญ่วิ่งฉลองชัยปลดล็อก ซึ่งหลายคนทักว่าแกดีใจเหมือนนัดนี้ตัดสินแชมป์

ซึ่งจริงๆ แล้ว มันคือแมทช์ตัดไม้ข่มนาม และเป็นพลังบวกที่ทุกคนก็รู้ดีว่า ถ้าแพ้อีก ก็จะตามหงส์ 8 แต้ม แต่มันไปกลับเท่ากับว่าช่องไฟย่อมาได้เหลือเพียง 2 คะแนน

แกก็เลยดีใจแบบไม่มีใครไปทักแก

อาร์เซน่อล เองก็ต้องการลบความทรงจำเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูลในเอฟเอ คัพ รอบสามเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อพวกเขาต้องไม่ยอมเสียโอกาสติดต่อกัน และนี่คือการตอบสนองที่สมบูรณ์แบบในวันที่ ถ้าหากผิดพลาดจนเกิดการพ่ายแพ้อีกครั้งจะยุติความหวังในการคว้าแชมป์อย่างแน่นอน

นี่ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่า ลิเวอร์พูลจะไม่ปรากฏตัวในเกมที่ใหญ่ที่สุดเกมหนึ่งของฤดูกาล….ทุกสิ่งอย่างออกกั๊กไปหมดไม่ลงตัว โดยเฉพาะการให้ ไรอัน กราเฟนแบร์ช ออกมาเล่นบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ ด้านขวา

คล็อปป์ เปลี่ยนตัวไม่ดีหรือไม่กับการสูญเสียคุณภาพการจ่ายบอลในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย

กองกลางตัดสินเกมโดยแท้กับการแพ้นัดที่ 2 ในบอลลีกซีซั่นนี้

ที่สำคัญที่สุดก็คือ การชิงแชมป์ปีนี้ม้ายังวิ่งต่อไปอย่างน้อย 3 ตัว

บี แหลมสิงห์