วันอาทิตย์ ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ถ้าเรานับกันจากวันนี้เหลือเวลาอีก 48 ชั่วโมงประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33
ด้วยโลกใบใหญ่ที่ถูกบีบจนแคบลงเรื่อย ๆ ไม่แปลกที่หลายคนจะมองว่า ซีเกมส์นั้น “เล็กไป” แต่ยังไงก็ต้องแข่งขัน
อยู่ ๆ คุณจะให้บุตรหลานของท่านไปเรียนมหาวิทยาลัยเลยไม่ได้ ก็ต้องไปเรียนอนุบาล เรียนประถม และเรียนมัธยมกันก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ ต่อให้เป็นกีฬาระดับไหน ก็จะต้องมีวิธีการ มีขั้นมีตอนมีลำดับ ไม่ใช่ทำงานแบบแก้ไขกันเฉพาะหน้า แก้ไขกันแบบวันต่อวัน หรือลูบหน้าปะจมูกไปวัน ๆ
นับเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีที่ประเทศของเรานั้นจัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค แล้วว่ากันว่านี่คืองานใหญ่ครั้งแรกในรอบ 27 ปี
นับตั้งแต่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 เมื่อปี 1998
แต่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ในช่วงสี่ซ้าห้าวันที่ผ่านมานับตั้งแต่การแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา
ภาพของซีเกมส์นอกจากไม่สวยงามดั่งคาด แล้วยังติดลบอย่างน่าตกใจ
จากการที่จะเสริมสร้างภาพลักษณ์ และให้เป็น ซอฟท์ พาวเวอร์ ของประเทศ เพื่อให้เกิดผลทางสังคมและความภาคภูมิใจของคนในชาติ
กลับกลายเป็น “ภูมิตก” อย่างมีนัยยะสำคัญ
คนในวงการตีแผ่ คนในออนไลน์ขย้ำ สำคัญคือ คนนอกวงการที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง และบางคนไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ดันทะลึ่งมาผสมโรง
บางทีเรื่องที่ไม่ควรเชื่อก็ดันเชื่อ เรื่องที่ไม่ควรเชื่อดันรีบคอมเมนต์ ก็นี่แหล่ะครับ ประเทศไทยเรื่องแค่นี้ไม่น่าจะสามัคคีกันเลย
อัลกอริทึ่มพุ่งกระฉูด เช่นเดียวกับความฉิบหายที่พุ่งติดเพดานครับ
คนเราไม่ชอบเรื่องดีครับ เป็นปกติที่ทำให้คนรักกันน่ะเรื่องง่าย แต่ทำให้ทะเลาะกันมันหมูกว่าเยอะ
ว่ากันตามเชิง ซีเกมส์ ครั้งนี้มีปัญหาทั้งในและนอกสนามแบบที่ช่วยได้ และช่วยไม่ได้จริงๆ
ในยุคสมัยข่าวคราวเร็วกว่าไฟลามทุ่ง การจัดหนนี้ไม่ได้แย่ไปกว่า เอเชียนเกมส์ 1998 ครั้งนั้นเราเกือบถูก “ยึดสิทธิ์เจ้าภาพ” จากสภาโอลิมปิกเอเชีย(โอซีเอ)
การบริหารหนนั้นอยู่นมือนักการเมือง และถูกเคลึยร์โดยนักการเมืองเช่นกัน เพราะ นายสุขวิช รังสิตพล บริหารไม่ได้ และต้องถึงมือของ พิชัย รัตตกุล มากู้สถานการณ์
มาครั้งนี้ชัดเจนที่สุดก็คือ 1.เรื่องของการเมือง และ 2.เรื่องของภัยธรรมชาติ
เราแบ่งเป็นเคสที่ชัดเจนที่สุดก็คือการกระทบกระทั่งระหว่างประเทศนั้นก็คือไทย กับ กัมพูชา ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมไปกว่านี้
ไม่แปลกอะไรที่ กัมพูชา จะถอนตัวออกไป ตามที่หลายคนคิด สาเหตุก็มีแค่ 2 อย่าง
1.1 กลัวเรื่องความปลอดภัย
1.2 ป่วนไทยให้มากที่สุด
ขณะที่เรื่องของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็น 1 ใน 3 จังหวัดที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ประเมินมิได้
สองเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากและไม่สามารถประเมินได้ล่วงหน้า
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการจัดการจากภาครัฐนี่คือสิ่งที่เราสามารถบริหารจัดการได้
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ประเทศไทย ได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พุทธศักราช 2562
ย้อนถามกันไปเลยว่ามันผ่านมากี่รัฐบาลแล้ว
มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากี่คน
แล้วมีผู้ที่เหนือกว่าด้วยหรือเปล่า
การมีเจ้านายเป็นเรื่องที่ดียิ่งเจ้านายรู้เรื่องด้วยทำเป็นด้วยยิ่งเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้าเจ้านายทำไม่เป็นสั่งอย่างเดียวผมก็ไม่เคยเห็นที่ไหนรอดสักราย
เท่ากับว่าที่ผ่านมากว่าที่ซีเกมส์จะเปิดนั้นเรามี 3 รัฐบาล กับ นายกรัฐมนตรีถึง 4 คน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา, เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร และอนุทิน ชาญวีรกูล
เรายังมี “แพคเกจ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อีกถึง 5 คน
พิพัฒน์ รัชกิจประการ, สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล, เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, สรวงศ์ เทียนทอง และอรรถกร ศิริลัทธยากร
เรายังมีโปรโมชั่นทิ้งท้ายด้วยการมีผู้กำกับดูแลกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อีกด้วย
นั่นคือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี
23 ปี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีผู้ที่มานั่งเป็น “เจ้ากระทรวง” ไปแล้วถึง 13 ท่าน
ผมคิดว่า “โปรโมชั่น” ตรงนี้มันเยอะมาก
ทำให้มีความรู้สึกได้ว่า มี “ตุ๊กตา” ที่เป็น “เจ้านาย” มากเกินไปหรือไม่ เมื่อมีคนสั่งการมากเกินไป คนทำงานจะปวดหัวเกินไปหรือเปล่า
ลำดับขั้นในที่นี้ก็คือ โดยปกติทั้ง การกีฬาแห่งประเทศไทย และ โอลิมปิกไทย มีความเป็นเอกเทศพอสมควร หากว่ากันตรง ๆ ทั้งสองฝ่ายมุ่งหน้าทำงานให้กับวงการกีฬาไทย ในคนละส่วน
แต่ก็มีที่จะต้อง “มองกระจกหลัง” และมี “การเชนเกียร์” รวมถึงต้องการ “เหยียบคันเร่ง” ให้แซงกันไป เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างซ้อนกันอยู่บาง ๆ บนถนนเส้นนี้
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ กกท.มีคนที่มี “อำนาจมากกว่า” ทุกตำแหน่งในค่ายหัวหมาก คอยดูแล หรือบางครั้งก็เกินการดูแล
จนเหมือนกับการ “กดรีโมต”
ทีนี้การ “แต่งตั้ง” คนมาดูแลเพิ่มเติม เท่ากับว่า ทั้งหมดนี้มันคือ “สามเด้ง” หรือ “สามลำดับขั้น” เลยนะครับ
ซีเกมส์หนนี้คือตัวอย่างสำคัญที่ “ตบหน้า” หลายที่ใช้วลีโกหกแบบพะโล้ที่ว่า “การเมืองไม่เกี่ยวกับกีฬา” ต้องหลบไปให้ไกล ๆ
ไม่ควรอยู่ในสังคมควรไปจมอยู่ในสังคัง
เพราะยังไงก็เกี่ยวกันล้านเปอร์เซนต์
เนื่องจากทุกอย่างต้องผ่านการเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรี
ทีนี้ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ที่ ซีเกมส์ ดูเหมือนจะปิดรูรั่วไม่หมด มันก็มาจาก “งบประมาณแผ่นดิน”
ประเด็นคือ เมื่อคุณเปลี่ยนรัฐบาลไป ๆ มา ๆ จึงไม่มีทางเลยที่ทุกอย่างจะเดินหน้าได้ หากคุณไม่มีเรื่องของ “โครงสร้าง”
ประเทศไทยนั้นมี “โร้ดแมป” ทั้งการจะสร้างเมืองกีฬา การที่เราจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันยูธ โอลิมปิกเกมส์ ซึ่งการจัดการแข่งขันกีฬาระดับใหญ่ เราควรจะได้ “มรดก” เอาไว้ให้กับประเทศ
สนามกีฬา, ถนน, ทางด่วน คืออาทิ
ยกตัวอย่างคือ เอเชียนเกมส์ 1998 เราได้ศูนย์กีฬาใหญ่ ๆ ชัดเจน 2 แห่ง นั่นคือ ราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก และศูนย์กีฬาธรรมศาสตร์ รังสิต
เราได้เส้นทางถนนมากขึ้น ตัดผ่านช่องทางต่าง ๆ หลายจุด
ซีเกมส์ 1995 จังหวัดเชียงใหม่ และซีเกมส์ 2007 จังหวัดนครราชสีมา มีสนามกีฬาอย่างเป็นทางการ และ “ได้ใช้” จนถึงทุกวันนี้
แล้วหนนี้เราเหลืออะไรบ้าง!?!?!?!?!?
จากนี้ต่อไป เราจะได้อะไร หรือเราจะได้จัดอะไรหรือเปล่า หากเรายังเป็นกันแบบนี้
คนไทยต้องมีข้อเดียวจริง ๆ ในการจัดการแข่งขันกีฬา
นั่นคือ “ตัวหลัก” ทั้งคนและนโยบาย
เริ่มจากเรื่อง “ตัวหลักที่เป็นคน” กันก่อน
คนที่มานั่งในตำแหน่งนี้ถือว่า สำคัญอย่างที่สุด เพราะคุณจะต้องมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อม เกินพอ และเบ่งบวมด้วยบารมี
1.สามารถเดินมาแล้ว ที่ประชุมเงียบได้ ด้วยความเกรงอกเกรงใจไม่ใช่เกรงกลัว
2.สามารถโต้แย้งเรื่องราวต่าง ๆ ได้ชนิดที่คนอื่น ๆ ต้องหยุดฟัง
3.สามารถที่จะอธิบายเรื่อง “ความเป็นจริง” ได้มากกว่า “ความต้องการ”
สำคัญมากก็คือ 4.ทุกฝ่ายทั้ง กกท., โอลิมปิก, กระทรวง, และคนนั่งบนเก้าอี้เหนือเก้าอี้เจ้ากระทรวงอีกที ต้องยำเกรง
ไม่ใช่กลัวด้วยอำนาจ หรือเกรงด้วยดาบอาญาสิทธิ์
แต่ต้องมาจาก คุณวุฒิ และวัยวุฒิที่ต้องมาพร้อมกัน
ก่อนหน้านี้ประเทศไทยของเรามี “บิ๊กจา” จารึก อารีราชการัณย์ ที่คอยเป็นเสมือนกับ “กาวใจ” หรือ “ยาแนว” ที่คอยประสานรอยร้าว และเคลียร์สถานการณ์ที่มันยอดแย่ ยวบยาบ ให้กลายเป็นดีมาหลายต่อหลายครั้ง
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการมา “เปลี่ยนมาสค็อต” ก่อนงานแค่ 2 เดือน
ก็คงจะโดน เสธ.แกย้อนถามว่า “ลื้อจะเปลี่ยนไปทำไม มันได้ประโยขน์ตรงไหน” แน่นอน
บุคคลคนนั้น ต้องไม่ใช่มาเป็นแค่ “กระโถนท้องพระโรง” จะต้องทุ่มเทและทำงานเป็นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน “ตัวหลักที่เป็นนโยบาย” ก็ต้องให้เป็นการทำโร้ดแมปไปพร้อม ๆ กัน และทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยไม่ใช่ว่า เมื่อคุณเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ก็เปลี่ยนไปเรื่อย และส่งคนมานั่งเป็น “เจ้ากระทรวง” ให้ได้แค่กลไก “ตามโควต้า”
จนถูกนินทาว่าตกลงว่านี่คือ “กระทรวงโควต้า” หรืออย่างไร
นี่ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันว่า ประเทศไทย นั้น คนจะมีความสุข หรือดีใจโดยที่ไม่ค่อยได้ตีกันมาจากอะไรเลย นอกจากรอยยิ้มเสียงหัวเราะจากวงการกีฬา
ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ระดับบนเท่านั้น ระดับล่าง ก็มีแต่คนวงอื่นที่ชอบเข้ามา “ผสมโรง” และมาหากินกับวงกีฬา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถามว่า เคยทำอะไรให้วงนี้กันบ้างหรือไม่
รู้เรื่องของวงนี้มากน้อยแค่ไหนอันนี้แหละที่จะทำให้เสียขบวนไปในทุกเรื่อง
ถึงตรงนี้แล้ว ยังมีเวลาเพียงพอที่จะทำให้ ซีเกมส์ กลับมายืดอกขึ้นอีกที กู้สถานการณ์ทุกอย่างให้กลับมา อย่างน้อยการ “สร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ” ในยุคที่คนบางกลุ่มแอนตี้และถูกตีตราว่า “ติทุกอย่าง ชังทุกเรื่อง” เหมือนกับคนเกิดมาแบบไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ยังไงก็ต้องเร่งทำ
ส่วนในอนาคต อย่างที่ระบุเอาไว้ถือว่าชัดเจนที่สุดแล้วนะครับ
หากคุณไม่ทำ “โครงสร้าง” ภายในประเทศเอาไว้ก่อน อย่าได้ริเลยครับกับการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาในอนาคต ถ้าคุณ “ไม่มีหลัก”
เมื่อก่อนมีนักมวยชื่อ “หลักหาย ศ.พณาเจือเพ็ชร” แต่นี่คือชีวิตจริงของวงการกีฬาไปแล้วล่ะครับ
เสียทั้งเงิน, เสียทั้งเวลา, เสียทั้งหน้า และเสียทั้งความรู้สึก
“กีฬา”ต้องเป็น “วาระแห่งชาติ” เท่านั้นครับ ถึงจะไปรอด พร้อมกับต้องเป็นการประสานกันระหว่าง “ภาครัฐ” เป็นผู้กำหนดนโยบาย และให้ “ภาคเอกชน” เข้ามาบริหารจัดการ
ไม่ใช่วาระขององค์กรใด พวกใดหรือแค่คนใดจำพวกหนึ่ง
ไม่ใช่เป็นพื้นที่ให้ใครมาแสดงอำนาจ แต่ให้มาแสดงความสามารถในเชิงของกีฬา
หนักที่สุดก็คือ ด้วยการบริหารการแข่งขันแบบ “มือไม่ถึง” มันจะทำให้จาก “มรดก” ของการแข่งขันกีฬาที่ทุกคนอยากได้
จะกลายเป็น “มรดก” ที่ไม่มีคนจดจำ และไม่มีใครต้องการ
สุดท้ายกลายเป็นซากปรักหักพังที่ไร้ใครเหลียวแล
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี