นายเริงชัย คงทอง ผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า กฟผ. กล่าวว่า ขณะนี้ กฟผ.ปรับแผนการเดินเครื่องโรงไฟฟ้ารองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำและปัญหาภาวะภัยแล้ง ซึ่ง กฟผ.ติดตามสถานการณ์ตลอดเวลาและทำแผนต่อเนื่องรับภาวะที่เกิดขึ้น โดยมีการสำรองน้ำมันเตาเพื่อผลิตไฟฟ้าในส่วนของโรงไฟฟ้าราชบุรีเพิ่มขึ้นใช้ทดแทนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เพราะราคาน้ำมันเตาขณะนี้ถูกกว่าการใช้ก๊าซ
แอลเอ็นจี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ราคาก๊าซฯ จะเป็นต้นทุนที่ต่ำกว่าน้ำมัน
“กฟผ.ต้องบริหารเชื้อเพลิงให้ค่าไฟฟ้าต่ำที่สุด โดยโรงไฟฟ้าราชบุรีรับก๊าซจากเมียนมา แต่ก๊าซแหล่งเยตากุนมีปริมาณต่ำกว่าสัญญา ดังนั้น ต้องนำเข้าแอลเอ็นจีมาทดแทน ซึ่งการเดินเครื่องด้วยน้ำมันราคาจะคุ้มกว่าแล้วให้ ปตท.ส่งก๊าซไปยังโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เช่น หนองแซง และอุทัย ทำเช่นนี้ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะต่ำที่สุด” นายเริงชัย กล่าว
นายเริงชัยกล่าวว่า ในส่วนปัญหาภัยแล้งน้ำในเขื่อนหลักมีน้อยมาก โดยน้ำใช้งานได้ในเขื่อนภูมิพลมีสัดส่วน 8% เขื่อนสิริกิติ์ 20% เขื่อนศรีนครินทร์ 30% เขื่อนวชิราลงกรณ์ 30% เขื่อนเชี่ยวหลาน 70% ส่วนเขื่อนอุบลรัตน์ 3% เท่านั้น และทาง กฟผ.ไม่ได้มีแผนเดินเครื่องโรงไฟฟ้าเหล่านี้ ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนจะมีหรือไม่ เรื่องนี้ขึ้นกับคำสั่งการปล่อยน้ำของกรมชลประทานที่ปีนี้จะเน้นเรื่องน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการรักษาระบบนิเวศน์ หากมีการปล่อยน้ำการผลิตไฟฟ้าก็จะเป็นผลพลอยได้ ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าไม่ถึง 1% แต่เรื่องนี้ไม่กระทบต่อการผลิตไฟฟ้า เพราะมีการปรับเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังน้ำหน้าร้อนจาก สปป.ลาวเพิ่มขึ้น เพราะวางแผนสั่งการรับซื้อตามสัญญาหน้าร้อนนี้โดยน้ำในเขื่อนน้ำงึม 2 น้ำเทิน 2 มีปริมาณมาก ประกอบกับโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาเดินเครื่องได้ครบทั้งหมด จึงช่วยทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าไม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากปัญหาภัยแล้งทำให้น้ำในเขื่อนบางแห่งของ สปป.ลาว คือ เทินหินบุน และห้วยเฮาะ มีปริมาณน้อยเช่นกัน
“ปีที่แล้วเริ่มประสบปัญหาภัยแล้ง แต่ปีนี้แล้งกว่า กฟผ.เตรียมพร้อม โดยปีที่แล้วใช้น้ำผลิตไฟฟ้าประมาณ 1% จากปกติประมาณ 5% ปีนี้ คาดว่าคงไม่ถึง 1% แต่โชคดีที่โรงไฟฟ้าถ่านหินและน้ำใน สปป.ลาวเดินเครื่องได้เต็มที่สัดส่วนการซื้อไฟฟ้าต่างประเทศก็ได้เพิ่มขึ้นมามีสัดส่วนประมาณ 4-5% ของเชื้อเพลิงทั้งหมด”นายเริงชัย กล่าว
นายเริงชัยกล่าวว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าวานนี้ (9 มี.ค.) นับเป็นระดับสูงสุดในปีนี้ โดยอยู่ที่ 26,215.9 เมกะวัตต์ เมื่อเวลา14.44 น. ด้วยอุณหภูมิ 34.9 องศาเซลเซียส ขณะที่ปี 2558 ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ 27,346 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามกฟผ.ประเมินพีกปีนี้จะอยู่ที่ 28,500 เมกะวัตต์บนเป้าหมายเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 3.7 และด้วยความร้อนและแล้งนานคาดพีกจะเกิดขึ้นเดือนเมษายนด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยในเขตกทม. 37.1 องศาเซลเซียส
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี