10 ต.ค.59 นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเอสเอ็มอี สปริง อัพ ว่าตั้งแต่กระทรวงเริ่มดำเนินโครงการเอสเอ็มอี สปริง อัพ รุ่นที่ 1 เมื่อช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการกว่า 110 ราย สามารถเชื่อมโยงธุรกิจ ก่อให้เกิดการซื้อขายระหว่างกันกว่า 10 ล้านบาท อีกทั้งยังช่วยเพิ่มผลิตภาพและยกระดับอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 100 ล้านบาท โดยเตรียมจัดโครงการรุ่นที่ 2 และ 3 ต่อเนื่อง รุ่นละ 100 ราย ซึ่งจะเริ่มอบรมระหว่างวันที่ 26 ต.ค.นี้ และจะขยายผลไปยังผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงใหม่และอุดรธานี ช่วงเดือนพ.ย.ต่อไป คาดหลังจบโครงการจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 10%
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างพัฒนาผู้ประกอบการที่อยู่โครงการยกระดับดาวเด่นเอสเอ็มอีของไทย (DIP Star) จำนวน 31 ราย ให้มีศักยภาพตามหลักเกณฑ์การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จะคัดเลือกผู้ประกอบการที่มียอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10% ติดต่อกัน 2 ปี รวมทั้งมีการวางแผนที่จะขยายสาขาหรือขยายตลาดไปต่างประเทศใน 2 ปี และมีแผนพัฒนาการผลิตหรือคิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องจนได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ โดยตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการได้ไม่ต่ำกว่า 31 รายภายใน 3 ปี
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงตั้งเป้าหมายอุตสาหกรรม 14 กิจการมีอัตราการเจริญเติบโตสูง ได้แก่ ก่อสร้าง 6 กิจการ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 3 กิจการ ยานยนต์และชิ้นส่วน 3 กิจการ เทคโนโลยีสารสนเทศ 1 กิจการ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 1 กิจการ และตั้งเป้าอุตสาหกรรม 7 กิจการ มีมูลค่าการส่งออก-นำเข้าขยายตลาดสู่กลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ได้แก่ เครื่องจักรกล 1 กิจการ ผลิตภัณฑ์ยาง 3 กิจการ บรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์พลาสติก 1 กิจการ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 2 กิจการ
"ในจำนวนนี้ตั้งเป้าหมายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาตนเองจนสามารถระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในปีหน้า 5 กิจการ ซึ่งขณะนี้ได้จ้างที่ปรึกษาทางการเงินเตรียมความพร้อมก่อนระดมทุนแล้ว ทั้งการส่งเสริมยอดขาย การทำตลาด และการจัดทำบัญชี เป็นต้น อีกทั้งตั้งเป้ามีผู้ประกอบการได้รับรางวัลการบริหารงานคุณภาพ 11 กิจการ มีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% จำนวน 12 กิจการ และสามารถขยายตลาดได้ 3 กิจการ"นายสมชาย กล่าว
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรณีที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เร่งศึกษาแนวทางจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ใหม่ รองรับการลงทุนของเอสเอ็มอีรายใหม่ (สตาร์ท อัพ) นั้น ผู้ประกอบการที่จะเข้ามาลงทุนต้องเป็นกลุ่มสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ และมีตลาดรองรับสินค้าอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไอที และสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมมองว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดที่ดี เพราะจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถระดมทุนได้โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ ทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่อง วางแผนบริหารจัดการธุรกิจได้ดีขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี