วิกฤติพลังงาน... ภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน...ไทยเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไฟฟ้าไม่พอใช้...จริงแล้วเรื่องราวเหล่านี้เราได้ยินได้ฟังกันมาหลายปีดีดักแล้วนะ...เป็น 10 ปีแล้วก็ว่าได้...
จำได้ว่ารัฐมนตรีพลังงานอย่างน้อย 5 คนมาแล้ว...พูดเหมือนกันว่า...การพึ่งพากระแสไฟฟ้าจากพลังงานก๊าซธรรมชาติถึง 60-70% ของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมด...เป็นเรื่องไม่สมควร...จำเป็นต้องแก้ไขให้สัดส่วนนี้มันลดลง...
ที่สำคัญก๊าซธรรมชาติ...ที่เราใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้า ซื้อจากคนอื่นเสียเป็นส่วนใหญ่ด้วย...พูดง่ายๆ คือยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจนั่นเอง...
ดังนั้นภาวะพลังงานบ้านเราจึงอยู่ในภาวะอ่อนไหวมากๆ..ก็ดูกันก็แล้วกัน...แค่ว่าพม่าหยุดซ่อมแท่นขุดเจาะ...ไทยยังป่วนกันไปทั้งประเทศเลย...
คงพูดไม่ผิดว่า...ไทยไม่เคยมียุทธศาสตร์ด้านพลังงานที่ดีเลย....
ไอ้แผนพีดีพีที่ทำกันมาตั้งหลายฉบับแล้ว...ก็ไม่ได้ส่งผลอะไร...กับเรื่องภาวะความมั่นคงด้านพลังงาน
การบริหารงานด้านพลังงานของรัฐบาลไม่ว่าชุดไหนๆ...ก็ทำแค่เรื่องเฉพาะหน้า แก้ปัญหาไปวันๆ...มีประเด็นอะไรขึ้นมาครั้งหนึ่ง...ก็แก้กันตรงปลายเหตุกันทีหนึ่ง...
น้ำมันแพง...ก็อุดหนุน...อย่างก็กรณีน้ำมันดีเซล...ที่ตรึงกันมาร่วมปี สูญเสียภาษีที่ควรจะได้มาทำเป็นงบประมาณไปหลายหมื่นล้านบาทแล้ว...ก๊าซหุงต้ม...ก็กดราคากันเอาไว้..จนโครงสร้างราคา โครงสร้างการบริโภค โครงสร้างผลิต บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนกันไปหมด...ฯลฯ
ทำกันอยู่แค่นี้...เอาเงินโปะๆ เข้าไป...เพราะมันง่ายดี...ปัญหาข้างหน้าเป็นไงค่อยว่ากันอีกที...
ถึงเวลาแล้วหรือยัง...ที่ต้องทำเรื่องพลังงานแบบยุทธศาสตร์สักที...ประชากรไทย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รายได้ประชากรไทยเพิ่มขึ้น นั่นแปลว่าปริมาณการใช้พลังงานก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย...และจากตัวเลขบีโอไอ จากสอท.ที่ระบุว่า...นักลงทุนชาวต่างชาติ นักลงทุนไทย กำลังจะขยายการลงทุนมากขึ้น....นั่นก็หมายความว่าความต้องการใช้พลังงานโดยเฉพาะไฟฟ้าก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน....
แม้ว่าหน่วยงานด้านพลังงานของไทย...เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)จะยืนยันหลายครั้งว่ามีปริมาณสำรองไฟฟ้ามากพอรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ...ถ้าดูจากตัวเลขก็อาจจะใช่....แต่ไส้ในของมัน...เรียกว่าความมั่นคงทางพลังงานได้หรือเปล่า...ก็ต้อบอกว่าไม่ใช่...เพราะปริมาณไฟฟ้าที่หยิบยกมาอ้าง...มีไม่น้อยที่ต้องซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน....
กลับมาที่โครงสร้างการผลิตไฟฟ้าและพลังงานอื่นๆ....น่าจะลองฉุกคิดว่าปีหนึ่งเราเสียเงินไปกับการอุดหนุนราคา...การละเลงงบพีอาร์กับการรณรงค์เรื่องปลูกจิตสำนึกไปปีละเท่าไหร่...ถ้าเอาเงินพวกนั้นมาทำโครงการพัฒนาด้านพลังงานที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้จะได้เนื้องานมากกว่าไหม....เช่น...ถ้าเราจะเพิ่มโรงไฟฟ้าถ่านหินเพื่อถ่วงดุลกับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ...เราก็เอาเงินที่”ละเลง” กันอยู่ไปอุดหนุนผู้ผลิตโรงฟ้าถ่านหิน...ในการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์...ดีกว่าไหม...โรงไฟฟ้าถ่านหินก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก...
หรือว่าแบ่งเงินไปอุดหนุนหน่วยงานราชการ ประชาชน ให้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์...เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์...จะเห็นผลเป็นรูปธรรมมากกว่าไหม....
หรือพลังงานทดแทนในส่วนอื่นๆ...รัฐบาลลองเอางบที่ต้องไปอุดหนุนด้านราคาอยู่หรืองบพีอาร์ที่ละเลงกันเล่นๆ อยู่ตอนนี้....ไปพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง...จะได้เนื้องานมากกว่าไหม....
ถ้ารัฐบาลไม่คิดและทำแบบยุทธศาสตร์เสียแต่เดี๋ยวนี้...อีกไม่นานเราก็จะเจอวิกฤติมากกว่านี้...
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี