5เดือนที่เหลือของปียังไม่เห็นแววฟื้น-คนผ่อนรถหมดตัว
ค้าปลีกอ่วม”หนี้”ฉุดกำลังซื้อวูบ
หอการค้ายอมรับ หนี้ครัวเรือน และภาวะศก.ทรุด ทำให้กลังซื้อในประเทศดหดตัว ฉุดธุรกิจค้าปลีกปี 56 แย่ ประชาชนควักเงินผ่อนรถคันแรก จนหมดกระเป๋า ซ้ำเจอภาวะค่าครองชีพสูงรุมกระหน่ำ ส่วนคลัง จัดเวทีเสวนา โต้แบงก์ชาติ อัดตัวเลขหนี้ครัวเรือนของแบงก์ชาติสูงเกินจริง
นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล ประธานคณะกรรมการธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ ผู้บริหาร แฟรนไชด์ ร้านสะดวกซื้อ 7-11 กล่าวว่าภาวะธุรกิจค้าปลีกในช่วงครึ่งปีแรก 2556 เติบโตต่ำกว่าที่ประมาณการ
โดยอยู่ที่ 7-8 % และทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวไม่เกิน 10% โดยกลุ่มสินค้าที่ยังขยายตัวดีเป็นสินค้าในกลุ่มอาหาร เพราะเป็นสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค
ส่วนการชะลอตัวอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลัก ๆ อาทิ กำลังซื้อที่ชะลอตัวอันเป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงทรงตัวในระดับต่ำ อีกทั้งภาคการส่งออกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป ค่าครองชีพ ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นไม่มีแนวโน้มจะลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเริ่มมีการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนอีก 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ทุกเดือนตั้งแต่ ก.ย. 2556 รวมทั้งเรื่องภาระหนี้สินของครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นจนกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นจากปี 2553 จาก 63 % ต่อจีดีพี เป็นประมาณ 80% ต่อจีดีพี ในปี 2556 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการจับจ่ายใช้สอยในอนาคต
ทั้งนี้กำลังซื้อที่ลดลงจากเงินจับจ่ายของประชาชนส่วนหนึ่งถูกแบ่งไปใช้สำหรับผ่อนชำระจากการซื้อรถยนต์คันแรก รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภาระผูกพันที่ต่อเนื่อง เป็นผลให้มีการระมัดระวังการใช้จ่าย ตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
ขณะเดียวกันภาคธุรกิจยังอยู่ในช่วงที่รอประเมินแนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจ-การเมืองในประเทศ เป็นผลให้ชะลอการลงทุนใหม่และการจ้างงานเพิ่ม สัญญาณเหล่านี้ สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ และคาดว่า จีดีพี จะเติบโตเพียง 3.8-4. 3% แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้ เช่น การท่องเที่ยวที่โตขึ้น มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศสูงถึง 12.7 ล้านคนสูงขึ้น 20% รายได้เพิ่มขึ้น 17.6%
ส่วนใน 5 เดือนที่เหลือ ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน คาดว่าธุรกิจการค้าปลีกค้าส่งอาจจะขยายตัวต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้หากไม่ได้รับการสนับสนุน และร่วมมือกันแก้ไข-กระตุ้นกำลังซื้อ และความเชื่อมั่นอย่างจริงจังทั้งจากภาครัฐและเอกชน ภาคค้าปลีกอาจจะขยายตัวได้เพียง 6-8% ทำให้ผู้ค้าปลีกต้องดิ้นรนแข่งขันกันกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย แต่หากจะให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ผู้ค้าปลีกควรเน้นไปที่การร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ทำงานร่วมกันทั้ง Supply Chain เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการเข้าถึงความต้องการผู้บริโภค พัฒนาคุณภาพสินค้า สร้างความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่ม รวมไปถึงลดต้นทุนและความซ้ำซ้อนในองค์กร
“เรื่องกระทรวงพาณิชย์มีการขอความร่วมมือเรื่องขอให้เอกชนชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้าไปถึงถึงสิ้นปี คาดว่าสามารถตรึงราคาให้ถึงสิ้นปีได้แต่ปีหน้าก็ต้องว่ากันใหม่ “
ขณะเดียวกัน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)จัดเวทีเสวนาเรื่อง”หนี้ครัวเรือนน่ากลัวจริงหรือ” ซึ่งการจัดเสวนาคลังนี้เป็นข้อสังเกตุว่าจะเป็นการตอบโต้กรณีท่ะนาคารแห่งปแระเทผสออกมาแสดงความเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นมาก
โดยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค กล่าวในงานสัมมนาในเรื่อง หนี้ครัวเรือนหน้ากลัวจริงหรือ? ว่า จากข้อมูลหนี้ครัวเรือนของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2556 อยู่ในระดับที่ 77.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) คิดเป็นเงิน 8.97 ล้านล้านบาท ในเบื้องต้นพบว่ามีส่วนที่ไม่ควรนำมารวมกับข้อมูลดังกล่าว เพื่อที่จะวิเคราะห์สถานะหนี้ครัวเรือนได้อย่างแท้จริง เช่น บุคคลธรรมดาที่ขอกู้เพื่อประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่บริษัทที่มีอยู่ 13% ซึ่งหากตัดในส่วนนี้ออกหนี้ครัวเรือนจะเหลือ 64 %
นอกจากนี้ ปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นหนี้ที่เกิดจากสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้ทำการปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนกู้เพื่อไปซ่อมแซมบ้าน หลังภาวะวิกฤตน้ำท่วม โดยสินเชื่ออุปโภคบริโภค ในปี 2554 มีอัตราการเติบโต 5.8% แต่ในปี 2555 มีอัตราการเติบโตสูงถึง 21.6% ซึ่งเป็นปีหลังจากเกิดน้ำท่วมแล้ว ทำให้ประชาชนทำการขอสินเชื่อเป็นอย่างมาก ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น
“หนี้ครัวเรือนยังเกิดจากโครงการรถยนต์คันแรกของทางรัฐบาล ที่ไปกระตุ้นสินเชื่ออุปโภคบริโภคให้เพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น” นายพิสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่า มาตรฐานในการชี้วัดสถานะหนี้ครัวเรือนมีอยู่ 2 แบบ คือ การทำแบบสำรวจ ซึ่งจะต้องใช้เวลานาน เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในการสำรวจ โดยข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ณ ปี 2554 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 25.6 % ของจีดีพี และแบบที่ใช้ข้อมูลจากสถาบันการเงิน และไม่ใช่สถาบันการเงิน รวมถึงบริษัทประกัน ลีสซิ่ง เช่น ข้อมูลของทาง ธปท.
นายเอกนิติ กล่าวว่า ในส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตในไตรมาส 2 ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดค้างสินเชื่อเกิน 3 เดือนขึ้นไปต่อสินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ในระดับต่ำที่ 2.3% ของสินเชื่อบัตรเครดิต หรือคิดเป็น 5.83 พันล้านบาท ขณะที่ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในไตรมาส 1 ปี 2556 อยู่ที่ 2.2% โดยมียอด NPL คงค้างอยู่ที่ 2.56 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้คิดเป็นยอด NPL ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ทั้งสิ้น 0.5% หรือ 6 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามทิศทางของระดับหนี้ครัวเรือนในอนาคตน่าจะมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลง เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินทั้งระบบกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากโครงการของนโยบายรัฐบาลหมดลง ทั้งนี้สถานะการเงินของสถาบันการเงินยังมีความแข็งแกร่ง และอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของระบบอยู่ในระดับสูงถึง 16% จากเกณฑ์ของ ธปท. ที่ 8.5%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี