: ไปเที่ยวมอลตากันไหม
: มอลตา เหรอ เมืองนี้อยู่ที่ไหน มีอะไรน่าเที่ยวฉันนึกไม่ออกเลยว่ามีประเทศนี้ด้วย
หลายต่อหลายคนอาจจะนึกได้ว่ามอลตาคือประเทศ แต่หลายคนก็คงนึกไม่ออกว่ามอลตาอยู่ที่ไหน แล้วจะไปเที่ยวชมดูอะไรในมอลตา
ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่า มอลตาคือประเทศเกาะเล็กๆ(มีสองเกาะ เกาะใหญ่คือมอลตา ส่วนเกาะเล็กอยู่ทางเหนือคือเกาะโกโซ) อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อยู่ตอนใต้ของอิตาลี (หลับตาแล้วนึกถึงแผนที่อิตาลีนะครับ) มอลตาอยู่ใกล้กับบริเวณหัวรองเท้าบู๊ต แต่อยู่ใต้ลงมา ด้วยความที่มอลตาเป็นเกาะอยู่ในเมดิเตอร์เรเนียน โดยเกาะนี้เป็นเสมือนเมืองหน้าด่านของทวีปยุโรปในเขตเมดิเตอร์เรเนียน ดังนั้นถ้าหากจะมีการสู้รบทางทะเลโดยมีข้าศึกมาจากทวีปแอฟริกาแล้ว มอลตาจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางทะเลของยุโรป และแม้กระทั่งในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มอลตายังถูกถล่มด้วยระเบิดอย่างหนักจนราบเป็นหน้ากลองจากเยอรมนี และอิตาลี
แต่นอกจากเป็นจุดยุทธศาสตร์แล้ว ยังเป็นแหล่งของการผสมกลมกลืนของอารยธรรมและวัฒนธรรมของยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลางด้วย ดังนั้นจึงพบความกลมกลืนของชาวฟินิเซียน โรมัน กรีก อาหรับ นอร์มัน ซิซิเลียน สวาเบียน อารากอน แอฟริกา ฝรั่งเศส และอังกฤษ บนเกาะแห่งนี้
ปัจจุบันมอลตามีความน่าสนใจตรงที่ว่าเป็นเสมือนแหล่งหลอมรวมอารยธรรมของชนชาติต่างๆ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรแก่การไปเยี่ยมชมหลายแห่ง อาทิ กรุงวาเลตตาซึ่งมีสวนบาร์รากา และถนนพ่อค้า อาสนวิหารเซนต์จอห์น โบสถ์ฮาการ์คิม, ถนนบูลกรอตโต หมู่บ้านประมงมาร์ซักซ์โลกก์และหมู่บ้านมดินา ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ยังคงเอกลักษณ์ของยุโรปยุคกลางไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
สิ่งที่นิยมทำเมื่อไปเยือนกรุงวาเลตตาคือ การเดินชมป้อมปราการที่สูงตระหง่านอยู่ริมชายทะเล และการเดินไปเที่ยวชม Triq Repubblika ซึ่งเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองที่สร้างในยุคอัศวินแห่งเซนต์จอห์น
เมื่อเที่ยวชมในตัวเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว ก็จะลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ โดยมีจุดหมายสำคัญที่ โบสถ์ฮาการ์คิม ตามประวัติบอกว่าโบสถ์นี้เริ่มสร้างมาเมื่อกว่า 5 พันปีก่อน เมื่อครั้งยุคนิโอลิธิก เราจะพบว่าหินแต่ละก้อนที่นำมาสร้างโบสถ์นั้นใหญ่โตมโหฬารหนักหลายร้อยตัน ส่วนแผ่นหินที่วางระเกะระกะแต่ละแผ่นก็น่าจะหนักกว่า 20 ตัน
ส่วนที่พลาดชมไม่ได้คือ Blue Grotto Arch ซึ่งเป็นปฏิมากรรมหินซึ่งเกิดโดยธรรมชาติอันเนื่องมาจากการกัดกร่อนของกระแสลมและกระแสน้ำ แล้วยังมีถ้ำต่างๆ ที่อยู่ตามหน้าผาริมทะเลอีกมากมาย และที่บริเวณริมทะเลนี้เองก็มีจุดน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือหมู่บ้านประมงมาร์ซักซ์โลกก์ที่เต็มไปด้วยเรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็กที่มีสีสันสวยสะดุดตาที่มีชื่อตามภาษาท้องถิ่นว่า ลุกซ์ซา แล้วที่สำคัญคือหมู่บ้านประมงแห่งนี้จะมีร้านขนาดเล็กมากมายที่เสิร์ฟอาหารสดๆ จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ส่วนสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เช่นกันคือเมืองโบราณชื่อมดินา เมืองนี้อยู่บนที่ราบสูงกลางเกาะ บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างเป็นแบบบาร็อค (Baroque) ยังคงมีโบสถ์วิหารและป้อมปราการที่มีกำแพงสูง มดินาเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของมอลตามาก่อน เสน่ห์ของมดินาคือความเงียบสงบเรียบง่าย จนหลายคนขนานนามว่าเมืองแห่งความสงบเงียบ ดังนั้นการชมเมืองนี้ที่ดีที่สุดคือการเดินด้วยเท้าแล้วสัมผัสเมืองแบบละมุนละไมไปแบบช้าๆ แช่มช้อยค่อยๆ ชม เดินลัดเลาะไปตามถนนสายแคบๆ ที่ขนาบไปด้วยกำแพงสูงของป้อมปราการต่างๆ
หากคุณผู้อ่านสนใจจะไปเที่ยวชมความน่ารักและสัมผัสมนต์เสน่ห์ของมอลตาด้วยกัน โดยเน้นการเที่ยวแบบละมุนละไม ไปเที่ยวแบบอ้อยอิ่งแช่มช้า ไม่รีบไม่ร้อนรน ไปกันเพียงกลุ่มเล็กๆ ไม่เกิน 12 คน โปรดติดต่อMr. Flower ที่ 091 7233615
(หมายเหตุ สำหรับคุณๆ ที่สนใจไปเที่ยวเวนิส ซึ่งเขียนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ยังสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลขโทรศัพท์เดียวกันครับ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี