คำตอบ การอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยวิธีพืช จะเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความเสื่อมโทรมของดินและน้ำ ดำเนินการโดยใช้พืชที่ปลูก ให้สามารถอำนวยประโยชน์ด้านอนุรักษ์ ป้องกัน ปรับปรุง ฟื้นฟู และบำรุงรักษาทรัพยากรดินและน้ำ ให้อยู่ในสภาพที่อุดมสมบูรณ์ สามารถดำเนินการผลิตทางการเกษตรได้อย่างดี อันได้แก่ 1) การปลูกพืชสลับเป็นแถบ คือ การปลูกพืช ชนิดต่างๆ เป็นแถบ หรือเป็นแนวกว้างๆ สลับกันไป โดยขวางการปลูกพืชตามแนวระดับ 2) การปลูกพืชสลับเป็นแถบ 3) การปลูกพืชหมุนเวียน 4) การปลูกพืชแซม 5) การปลูกพืชเหลื่อมฤดู และ 6) การปลูกหญ้าแฝก เป็นต้น
การปลูกพืชตามแนวระดับ เป็นการปลูกพืช ขนานกันไปตามแนวระดับขวางความลาดเทของพื้นที่ นิยมทำกันบนพื้นที่ที่มีความลาดเท 2-8 เปอร์เซ็นต์ สภาพความลาดเทสม่ำเสมอ และมีระยะของความลาดเทไม่เกิน 100 เมตร ความสำคัญของการปลูกพืชตามแนวระดับนี้ คือ ร่องที่เกิดขึ้นจากการไถพรวนดินและปลูกพืช จะทำหน้าที่เหมือนเขื่อนสกัดกั้น และลดความเร็วของน้ำที่ไหลบ่าบนผิวดินโดยตรง ประสิทธิภาพของการปลูกพืชตามแนวระดับ ขึ้นอยู่กับชนิดและสภาพของดิน ความลาดเท การใช้ที่ดิน ปริมาณน้ำฝน และภูมิอากาศของพื้นที่นั้นๆ
วิธีนี้จะประกอบด้วย แถบพืชที่ปลูกช่วงอนุรักษ์ดิน เช่น หญ้าแฝก และพืชคลุมดิน กับแถบพืชไร่ หรือการปลูกพืชสลับระหว่างแถบ พืชที่ปลูกระยะกว้างหรือห่าง การปลูกพืชในระบบนี้ จะช่วยให้น้ำที่ไหลบ่ามาถึงแถบพืชคลุมจะถูกดูดซับไวด้วยพืชคลุมนั้นๆ และอีกหลายส่วนจะถูกแถบของพืชเป็นแนวสกัดกั้นและรับแรงปะทะเอาไว้ ทำให้อัตราการไหลของน้ำลดลง วิธีนี้เหมาะในสภาพพื้นที่ที่มีความลาดเท 6-15 เปอร์เซ็นต์ และแถบพืชที่ปลูกมีความกว้างระหว่าง 10-25 เมตร
การปลูกพืชหมุนเวียน เป็นการปลูกพืชสองชนิดหมุนเวียนกัน หรือมากกว่า ลงบนพื้นที่เดียวกัน โดยมีการจัดลำดับพืชที่ปลูกอย่างมีระบบ ทั้งชนิดพันธุ์ และจัดเวลาที่ปลูกที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลดี ทั้งด้านผลผลิตและการอนุรักษ์ดินและน้ำ ด้วยระบบการปลูกนี้ พืชหมุนเวียนจะให้ได้ผลดีนั้น ควรใช้เศษพืชหรือปุ๋ยคอกปกคลุมดินด้วย มีการเพิ่มจำนวนครั้งในการปลูกพืชคลุมดิน เพื่อให้ดินได้รับการปกคลุมอยู่ตลอด หรือทำการเพิ่มจำนวนครั้งการปลูกพืชหลายชนิดติดต่อกันใน 1 ปี
การปลูกพืชแซม เป็นการปลูกพืชตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป บนพื้นที่ในเวลาเดียวกัน โดยทำการปลูกพืชที่สองแซมลงไประหว่างแถวพืชหลัก การคัดเลือกชนิดพืชเพื่อปลูกเป็นพืชแซม พืชหลักกับพืชแซมควรมีระบบรากที่หยั่งลึกในดินต่างระดับกัน พืชหลักกับพืชแซมควรมีอายุแตกต่างกัน พืชแซมต้องไม่เป็นที่พักอาศัยของโรคแมลงศัตรูพืชหลัก เป็นพืชที่ให้ประโยชนกับพืชหลัก เป็นพืชที่ตลาดต้องการและเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของท้องถิ่น
การปลูกพืชเหลื่อมฤดู เป็นการปลูกพืชต่อเนื่องคาบเกี่ยวกัน โดยการปลูกพืชที่สองระหว่างแถว ของพืชแรกในขณะที่พืชแรกให้ผลผลิตแล้วแต่ยังไม่แก่เต็มที่ การคัดเลือกพืชเพื่อปลูกพืชเหลื่อมฤดู ควรเป็นพืชอายุสั้น ทนทานต่อร่มเงา ไม่ต้องการไถพรวนหรือเตรียมดินขณะปลูก ควรเป็นพืชตระกูลถั่วบำรุงดิน
การปลูกหญ้าแฝก หญ้าแฝกเป็นพืชตระกูลหญ้า ขึ้นเป็นกอหนาแน่น มีจำนวนรากมาก รากจะประสานติดต่อกันอย่างหนาแน่น เสมือนม่าน หรือกำแพงใต้ดิน สามารถเก็บกักน้ำและความชื้นได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อพืชที่ปลูกข้างเคียง การปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ ควรปลูกเป็นแถวตามระดับขวางความลาดเทในช่วงต้นฤดูฝน โดยใช้ระยะปลูกระหว่างต้นหรือกอ ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ตามแนวตั้ง หญ้าแฝกจะเจริญเติบโตชิดกัน ภายใน 4-6 เดือน ในพื้นที่แห้งแล้ง ควรมีการตัดใบหญ้าแฝกให้เหลือความสูง ประมาณ 30-50 เซนติเมตร เพื่อเร่งให้มีการแตกกอเร็วขึ้น
ประโยชน์ของการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยวิธีพืชนั้น จะช่วยควบคุมการระเหยน้ำจากผิวดิน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอุ้มน้ำของดิน ช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์แก่ดิน ช่วยในการระบายน้ำในดิน ช่วยลดแรงปะทะของหน้าดินกับเม็ดฝน และช่วยปรับปรุงสภาพความร่วนซุยของดินอีกด้วย
‘นาย รัตวิ’
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี