13 ก.พ. 59 ที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต นางสำอาง นุชชมภู แกนนำเครือข่ายสตรีปกป้องพระพุทธศาสนา กล่าวในงานเสวนา "ทรัพย์สินพระ ทรัพย์วัด ทรัพย์สินของใคร" จัดโดยเครือข่ายสตรีปกป้องพระพุทธศาสนา ว่า ด้วยเครือข่ายสตรีฯ รวมตัวกันขึ้นจากเครือข่ายออนไลน์ โดยมีจิตใจที่นับถือพระพุทธศาสนา และมีจิตศรัทธาในการประพฤติดี ปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ที่เป็นสุปฏิปันโน แต่ปัจจุบันเกิดวิกฤตในความศรัทธาต่อพระสงฆ์ และองค์กรสงฆ์บางองค์กรที่นำหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาบิดเบือนและประพฤติผิดในพระธรรมวินัย และยังชักชวนให้พุทธศาสนิกชนมาทำบุญอย่างหมดเนื้อหมดตัว สร้างมิจฉาทิฏฐิแก่คนเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ มีการเล่นการเมืองในคณะสงฆ์และคบคิดกับนักการเมือง เพื่อสร้างเครือข่ายของตนและพวกพ้องให้เป็นกลุ่มอิทธิพลที่สังคมต้องเฝ้าระวัง ดังนั้น เครือข่ายสตรีฯ จึงรวมตัวเพื่อปกป้องพระธรรมวินัย ให้ได้รับการคุ้มครองจากภัยดังกล่าว จึงจัดเสนวนาเกี่ยวกับพระธรรมวินัยให้ความรู้เชิงวิชาการขึ้น
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 58 คณะกรรมการปฏิรูปฯ ได้ฟื้นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชขึ้น เพื่อเรียกร้องให้มหาเถรสมาคม (มส.) หยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ ในเรื่องพระดำริที่ระบุให้พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อาบัติปาราชิก ต่อมาวันที่ 20 ก.พ. พระพรหมเมธี โฆษกมส.ได้ออกมาแถลงว่า พระธัมมชโย ไม่ปาราชิก จนมาถึงวันที่ 10 ก.พ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ออกมาแถลงว่า พระธัมชมโย ไม่ปาราชิกเช่นเดียวกัน จนทำให้ขณะนี้ประชาชนเกิดวิกฤตความเสื่อมศรัทธาในมส. เพราะ มส.อุ้มพระธัมมชโย ชัดเจน
ส่วนปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดวิกฤตขึ้น เพราะพระสงฆ์หลายรูปไม่ยึดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะในข้อรับและยินดีในทรัพย์สิน เท่าที่ทราบพระสงฆ์ระดับเจ้าคณะผู้ปกครอง ใช้เงินในการวิ่งเต้นเลื่อนตำแหน่ง นี่คือความหย่อนยานของโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ ที่เปิดช่องให้พระสงฆ์มีเงินได้โดยถูกกฎหมาย อีกกรณีหนึ่งเมื่อพระสงฆ์เมื่อมรณภาพ ตามกฎหมายสงฆ์ ทรัพย์สินต้องตกเป็นของวัด แต่เท่าที่สังเกตส่วนมากพระสงฆ์จะโอนทรัพย์สินที่สะสมไว้ให้ญาติจนหมด เมื่อมรณภาพแล้วตกมาเป็นสมบัติของวัดน้อยมาก ปรากฏการณ์ที่พบนี้บ่งบอกว่าพระสงฆ์ที่บวชเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาไม่ได้มุ่งมาบวชเพื่อหลุดพ้น แต่ที่มาบวชเพื่อลาภสักการะ จนโยงไปถึงโครงสร้างของคณะสงฆ์ที่มี มส.เป็นผู้กำกับ น่าคิดว่าเหตุที่ มส.ไม่เขียนกฎหมายห้ามรับหรือยินดีในทรัพย์สิน เพราะเป็นเรื่องที่ขัดพระธรรมวินัยนั้น เพราะ มส.เองก็สะสมทรัพย์และใช้เงินไต่เต้าตำแหน่งใช่หรือไม่
"วันที่ 15 ก.พ. เวลา 13.00 น. ผมจะไปยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขอให้สืบสวนสอบสวนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ท่านละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบใน ม.157 หรือไม่ ในกรณีที่ไม่พิจารณาเรื่องปาราชิกพระธัมมชโย นอกจากนี้ จะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อพิจารณา พศ.ใน ม.157 เช่นเดียวกัน" นายไพบูลย์ กล่าว
ขณะที่ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวลักษณ์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า พระสงฆ์ต่างจากฆราวาส เพียงข้อเดียว คือเรื่องการถือศีล ส่วนเรื่องเงินทอง พระสงฆ์จะจับต้องไม่ได้ นี่เป็นประเด็นหลักในพระธรรมวินัย แต่สังคมไทยมองข้ามข้อนี้ไป เมื่อถามว่าพระสงฆ์มีเงินแล้ว เงินในบัญชีจะเป็นของใคร ต้องเป็นปาจิตตีย์ (อาบัติที่พระสงฆ์ต้องแล้ว) แน่นอน เมื่อพระสงฆ์มีเงินต้องมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่พุทธศาสนิกชนนับถือพระสงฆ์ เพราะพระสงฆ์เป็นผู้ที่เป็นตัวอย่างในความสมถะเรียบง่าย แต่ความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ปัจจุบันนี้ เริ่มใกล้เคียงกับฆราวาสมากขึ้นทุกที เพราะนำระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมมาใช้ เมื่อเห็นฆราวาสมีทรัพย์มากจึงอยากมีมากเช่นเดียวกัน เรื่องเงินวัด เงินพระสงฆ์เป็นของใคร เรื่องนี้รัฐบาลต้องออกกฎหมายมาระบุให้ชัดว่าพระสงฆ์มีเงินเป็นของส่วนตัวไม่ได้ เงินต้องเป็นของสงฆ์ ที่สำคัญถ้าจะแก้ไขการปกครองคณะสงฆ์ต้องยกเลิก มส.เท่านั้น
ส่วน นพ.มโน เลาหวณิช อดีตพระวัดพระธรรมกาย กล่าวว่า กฎหมายการบริหารคณะสงฆ์มีจุดอ่อนอย่างมาก เพราะนำระบบทหารพร้อมกับระบบศักดินามาใช้ เช่น ตำแหน่งสมเด็จพระราชคาคณะ 4 รูปทั้งธรรมยุตและมหานิกาย รวมถึงสมเด็จพระสังฆราช เป็นการปกครองในระบบ 5 เสือ ซึ่งวัดในประเทศไทย 3 หมื่นกว่าวัดถูกปกครองโดยพระมหาเถระเพียง 21 รูป ที่ไม่มีการเกษียณอายุ ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายตำแหน่ง เช่น เป็นเจ้าอาวาสวัดไหนต้องเป็นเจ้าอาวาสวันนั้นตลอดจนมรณภาพ ทำให้เกิดการสะสมอำนาจ สะสมทรัพย์ เมื่อสะสมมากทำให้มีทรัพย์มากพระสงฆ์ก็นำเงินไปลงทุน นี่เป็นกระบวนการธรรมดา ถ้ามองดูให้รอบขณะนี้มีร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) อยู่ อยากจะให้กำหนดใน รธน. ให้รัฐบาลบริหารจัดการเงินทองของวัดและของพระสงฆ์ ให้ชัดเจนและตรวจสอบได้ จะเป็นคุณูปการใหญ่ต่อศาสนาทุกศาสนาในไทย เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องให้ญาติโยมมาช่วยบริหารจัดการ และถึงเวลาแล้วที่ชาวพุทธต้องเข้ามาแก้ไขบทบาทนี้
"ถ้าผมเป็น มส.ผมจะลาออก เพื่อเปิดทางให้ปฏิรูปกิจการคณะสงฆ์ ให้รัฐบาลเข้ามาปฏิรูป แต่ผมไม่เห็นพระราชาคณะท่านใดกล้าทำแบบนี้ มติที่ออกมาเมื่อวันนี้ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ระบุว่าพระธัมมชโย ไม่ปาราชิก และมีเรื่องเร่งเวลาในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 จนส่อความกระสัน นอกจากนี้ วัดที่มีสัญลักษณ์เป็นจานบิน มีอำนาจมากสามารถโยงใยจัดกินรวมทั่วประเทศไทยได้ และถ้าการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึง น่ากลัวว่าการยึดอำนาจของ คสช.จะเสียของ ถ้าไม่มีการปฏิรูป เพราะการกลับมาครั้งหน้าของวัดจานบินจะยิ่งใหญ่ และไม่มีอะไรแตะต้องได้ นี่คือจังหวะเดียวเท่านั้นที่จะไปปฏิรูปพระศาสนา ทำพระให้เป็นพระ ทำวัดให้เป็นวัด" นพ.มโน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี