วันจันทร์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ไร่สุมิตธา เป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านการผลิตพืชอินทรีย์แบบผสมผสาน การวางแผนบริหารจัดการฟาร์มอย่างเป็นระบบบนเนื้อที่กว่า 350 ไร่ รวมไปถึงการตลาดที่เน้นทำตลาดบนทำสัญญากับห้างสรรพสินค้า และบริษัทชั้นนำ ที่สำคัญคือเจ้าของฟาร์มคือ คุณสมนึก ศรีสังข์สุข มีความมุ่งมั่นในการทำเกษตรอินทรีย์มาตั้งแต่ปี 2551 ด้วยสโลแกน “ปลูกด้วยรัก ดูแลด้วยใจ ห่วงใยผู้บริโภค” จนปัจจุบันได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกษตรดีเด่นด้านการผลิตพืชอินทรีย์ ประจำปี 2559 ของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 5 กรมวิชาการเกษตร
คุณสมนึกเล่าว่า ตนมาจากครอบครัวเกษตรกรพ่อทำสวนส้ม ตนจึงทำการเกษตรมาตั้งแต่อายุ 9 ปี พอปี 2536 ก็แยกมาทำสวนส้มของตนเองบนพื้นที่ 700 ไร่ ซึ่งตอนนั้นยังทำเกษตรแบบเคมี พอมาปี 2546 เกิดโรคกรีนนิ่งระบาดในสวนส้มอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตกำลังจะเก็บเกี่ยว ต้องใช้สารเคมีมากขึ้นเพื่อยับยั้งและรักษาต้นส้มไว้ ต้องเสียเงินไปกับค่าสารเคมีไม่ต่ำกว่า 150,000 บาทต่อไร่ รวมแล้วกว่า 100 ล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถรักษาต้นส้มไว้ได้ จึงรู้สึกท้อใจนับแต่นั้นมาก็เลิกอาชีพเกษตร และผันตัวเองมาทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างแต่ระหว่างนั้นก็ยังอยากกลับไปทำอาชีพเกษตรเพราะมีใจรัก ผ่านไป 5 ปี จึงหวนกลับมาทำเกษตรอีกครั้งในแปลงเดิมที่ปล่อยทิ้งร้างไว้ แต่ลดพื้นที่เหลือ 350 ไร่ โดยครั้งนี้ตั้งใจจะปลูกพืชแบบอินทรีย์ โดยใช้ชื่อว่า ไร่สุมิตธา
แนวคิดที่จะทำเกษตรอินทรีย์ มาจากประสบการณ์ครั้งก่อนที่ต้องสูญเสียเงินไปกับใช้สารเคมีจำนวนมากแต่ก็ไม่สามารถรักษาพืชผลไว้ได้ อีกทั้งได้ศึกษาข้อมูลพบว่าเกษตรอินทรีย์มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน ตรงกันข้ามกับสารเคมีที่มีแต่ผลเสีย ทั้งทำลายระบบนิเวศ พืชผลมีสารเคมีตกค้าง อีกทั้งยังเป็นปัญหาต่อสุขภาพของคนปลูก และกระทบต่อผู้บริโภคที่ต้องรับประทานผลผลิตที่มีสารพิษตกค้าง จึงเป็นที่มาของการปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์โดยตัดขาดจากการใช้สารเคมีทุกชนิดโดยสิ้นเชิงมาตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา
เริ่มต้นจากปลูกกล้วยหอม เพราะมีโรคและแมลงระบาดน้อย การทำเกษตรอินทรีย์ต้องขยันหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพืชผล ที่สำคัญต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองที่จะไม่ยอมใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะใช้วิธีการควบคุมศัตรูแทน เช่น ใช้บิวเวอร์เรียฉีดพ่นในการป้องกันเพลี้ยหนอนและใช้น้ำส้มควันไม้ไล่แมลง และทำปุ๋ยหมักใช้เองจากวัสดุที่มีในไร่นา โดยการปลูกกล้วยหอมก็ขยายมาปลูกพืชอื่นเพิ่มขึ้น เน้นการปลูกพืชแบ่งเป็นแปลงเล็กๆสลับกันไปมา (Buffer Zone) เพื่อเป็นแนวกันชนและเป็นการหลอกล่อแมลง
เช่น ปลูกกล้วยสลับกับนาข้าว ปลูกมะม่วงตามคันล้อม ปลูกกล้วยหอมสลับกับกล้วยไข่ และยังปลูกทุเรียน เงาะ มะยงชิด แซมในแปลงกล้วย นอกจากนี้ ได้สร้างแนวป้องกันการปนเปื้อนจากการฉีดพ่นสารเคมีจากแปลงข้างเคียง โดยทำคันดินสูง 3 เมตร ขุดร่องน้ำกั้นอีกชั้น และปลูกไม้ยืนต้นบนคันดิน ได้แก่ ต้นสน ยางนา ตะกู ส่วนพื้นที่ที่เหลือได้ปลูกพะยูง ไม้แดง ตะเคียน ตะกู ยางนา รวมพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ เป็นป่าเพื่อเป็นการสร้างสมดุลในธรรมชาติและระบบนิเวศด้วย
.png)
สมนึก ศรีสังข์สุข
ด้วยพื้นที่จำนวนมากต้องมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดการน้ำ ให้น้ำแบบน้ำหยด วางท่อน้ำมีวาล์วเปิด-ปิดน้ำ มีระบบกรองน้ำก่อนปล่อยเข้าสู่ระบบสปริงเกอร์ในแต่ละแปลง สำหรับน้ำที่ใช้ในแปลงเป็นน้ำฝนและน้ำชลประทานที่เก็บกักไว้ในบ่อที่ขุดขึ้นประมาณ 10 ไร่ สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปี การจัดการดิน จะใช้ปุ๋ยหมักที่ผลิตเองจากส่วนผสมของแกลบ ฟางข้าว และมูลไก่ ผสมน้ำหมักชีวภาพ นำไปบำรุงดินในแปลงอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังไถกลบเศษซากพืชเป็นปุ๋ยในดิน และปลูกปอเทืองหลังเก็บเกี่ยวข้าว ส่วนการจัดการวัชพืชในแปลง ถ้าแปลงข้าวจะใช้แรงงานคนสำรวจตัดและถอนต้นวัชพืชออกจากแปลงอย่างสม่ำเสมอ ส่วนแปลงกล้วยและมะม่วงจะใช้แรงงานคนและรถตัดหญ้า เพราะพื้นที่แปลงไม่มียกร่องทำให้รถเข้าไปทำงานได้อย่างสะดวก แต่จะไม่ตัดหญ้าพร้อมกันทุกแปลงเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของแมลงบ้าง การวางแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้พื้นที่ 350 ไร่ ใช้คนงานเพียง 17 คนเท่านั้น
คุณสมนึกเล่าต่อว่า หลังจากทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรก ได้ขอรับการรับรองมาตรฐาน ระบบการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (GAP) ซึ่งหลังได้รับการรับรองแหล่งผลิตพืช GAP ผ่านมา 2 ปี จึงยื่นขอรับรองแหล่งผลิตพืชอินทรีย์ ก็ได้รับการรับรองมาตรฐานแหล่งผลิตพืชอินทรีย์ (Organic Thailand) จากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 5 กรมวิชาการเกษตร เมื่อปี 2553 และในปีต่อๆ มา จนครบทุกพืชที่ปลูกในแปลง ซึ่งใบรับรองมาตรฐานพืชอินทรีย์ของกรมวิชาการเกษตร ถือเป็นเครื่องการันตีว่าสินค้าจากไร่สุมิตธามีคุณภาพและปลอดภัย
เมื่อสินค้าผ่านการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand ประกอบการวางแผนการผลิตที่เน้นผลิตเป็นแปลงย่อยปลูกหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน ทั้งแปลงกล้วยและข้าวจึงทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดได้ทั้งปี จึงได้เดินหน้าทำการตลาดโดยติดต่อประสานงานกับห้างสรรพสินค้า เช่น บริษัทในเครือ The MallGroup และร้านค้า Tops เพื่อนำสินค้าอินทรีย์เข้าไปวางจำหน่ายโดยทำสัญญาซื้อขายอย่างชัดเจนอีกทั้งยังหาตลาดในการส่งสินค้าข้าวอินทรีย์ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือข้าวในระยะก่อนสุกแก่ประมาณ 10 วัน จะจำหน่ายให้กับบริษัท อำพล ฟูดส์ โปรเซสซิ่ง จำกัด เพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำนมข้าว และน้ำนมข้าวกล้อง ผลผลิตอีกส่วนจะผลิตเป็นข้าวสาร ข้าวกล้อง จำหน่ายให้กับห้างสรรพสินค้าและขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป
.png)
“ทำเกษตรอินทรีย์ต้องใจนิ่ง ต้องกล้าพลาด คือช่วงแรกๆ ผลผลิตอาจสู้เคมีไม่ได้ อย่างนาข้าว 25 ไร่ ได้ผลผลิตเพียง 8 กระสอบ พอใส่ปุ๋ยหมัก ปรับปรุงบำรุงดินไปเรื่อย ปัจจุบันผลผลิตดีขึ้นจนใกล้เคียงกับการใช้เคมี ส่วนกล้วยหอมก็ได้ผลผลิต 6-7 หวีต่อเครือ ถึงแม้ผลผลิตอินทรีย์จะไม่มากเท่ากับใช้เคมี แต่สิ่งที่ได้คือต้นทุนลดลง ที่สำคัญคือผลผลิตมีคุณภาพ ทั้งในเรื่องรสชาติและความปลอดภัย คนปลูกก็มีความสุข ไม่เจ็บป่วย คนกินก็ปลอดภัย ซึ่งทุกวันนี้คนรอบข้างป่วยด้วยโรคมะเร็งกันเยอะ สาเหตุก็มาจากการบริโภคอาหารที่ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น” คุณสมนึก กล่าวทิ้งท้าย
หลังจากที่คุณสมนึก ทำไร่สุมิตธาให้เป็นออร์แกนิคฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน จึงชักชวนให้เกษตรกรในละแวกใกล้เคียงหันมาทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น ซึ่งมีเกษตรกรหลายรายเข้าร่วมเป็นเครือข่ายดำเนินการตามแนวทางเกษตรอินทรีย์แล้วหลายราย หากเกษตรกรท่านใดสนใจ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ที่ ไร่สุมิตธา หมู่ที่ 5 ต.วิหารแดง อ.วิหารแดง จ.สระบุรี โทร. 08-9744-7202 หรือขอคำแนะนำทางวิชาการเพื่อการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพให้ได้รับการรับรอง GAP หรือ Organic Thailand ได้จากหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตรในพื้นที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี