มีโอกาสได้ไปชมการแสดงกล้วยไม้ในงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 12ที่ อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้เห็นกล้วยไม้หลากหลายชนิด สีสันสวยงาม ทั้งที่จัดตกแต่งเป็นสวน เป็นเรือสุพรรณหงส์ กล้วยไม้ที่ประกวด และกล้วยไม้ที่จำหน่ายในร้านต่างๆ ซึ่งมีทั้งของต่างประเทศ และของไทย เหมาเอาเองว่าของไทยน่าจะมากกว่า 90%
เห็นความอลังการของกล้วยไม้ และศักยภาพกล้วยไม้ของไทยแล้วอดคิดไม่ได้ว่ากล้วยไม้น่าจะเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้กับประเทศไทยมากกว่าที่เป็นอยู่......ถ้ากระทรวงเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ และตัวเกษตรกรเองจะช่วยเหลือกันและกันมากกว่านี้
เมื่อราวๆ 20 ปีก่อนหน้านี้“กล้วยไม้” ถือเป็นสินค้า “Product Champion” ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องหันมาให้ความสำคัญมากกว่าไม้ดอกชนิดอื่นๆ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้กับประเทศปีละนับพันล้านบาท หลังจากนั้นไม่นานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยประธานสภาที่ปรึกษาฯ อานันท์ปันยารชุน ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ทักษิณชินวัตร ในขณะนั้น ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกกล้วยไม้ รวมทั้งไม้ดอกไม้ประดับของภูมิภาคเอเชีย
ในข้อเสนอนั้น ให้จัดตั้งตลาดกลางมาตรฐานไม้ดอกไม้ประดับ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนากล้วยไม้และไม้ดอกไม้ประดับเพื่อใช้สนับสนุนการลงทุนปรับปรุงการผลิตของเกษตรกร สนับสนุนการขยายตลาด ประชาสัมพันธ์สินค้าในต่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยด้านการผลิตและการตลาด
นอกจากนี้ยังสนับสนุนการรวมกลุ่ม และพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรและผู้ประกอบการเพื่อเชื่อมโยงประสานความร่วมมือให้เกิดความเข้มแข็ง ทั้งนี้ ให้รัฐบาลจัดตั้งองค์กรกลางที่เรียกว่า Flower Council เป็นผู้ประสานงานและดำเนินการ
ภายใต้ข้อเสนอดังกล่าวมีหมายเหตุว่า รัฐบาลต้องมีนโยบายส่งเสริมให้สังคมไทยเห็นคุณค่าของกล้วยไม้ไทยทั้งด้านสังคม และวัฒนธรรม เพราะกล้วยไม้ไทยมีวิวัฒนาการที่ยาวนาน มีการสั่งสมความรู้ความอดทนในกระบวนการผลิตของนักวิชาการ และภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงควรมีการถ่ายทอดเพื่อสืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมสู่เยาวชนและประชาชนต่อไป
ข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในคราวนั้น (พ.ศ.2546) กับนายกรัฐมนตรีที่ทำงานรวดเร็ว น่าจะมีส่วนผลักดันให้เกิด ศูนย์กลางการผลิตและการตลาดกล้วยไม้ขึ้นในประเทศไทยได้ไม่ยาก แต่ข้อเสนอดังกล่าวกลับเงียบหาย
มีความพยายามของหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่จะดำเนินการในบางเรื่อง เช่น ตลาดกลางกล้วยไม้ แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการต่อเนื่อง มีการสนับสนุนจัดงานแสดงกล้วยไม้ ประกวดกล้วยไม้ในจังหวัดต่างๆ แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อการผลิตและการตลาดกล้วยไม้ในภาพรวมของประเทศ เพราะด้านการตลาดส่งออกก็ทำกันไปในกลุ่มนักธุรกิจ และผู้ประกอบการผลิต และส่งออกกล้วยไม้ต้น และกล้วยไม้ตัดดอกไม่กี่ราย มูลค่าการส่งออกที่คาดกันว่าจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปีๆ ก็ไม่ใช่ แต่อยู่ในระดับ 2,000 ล้านบาทต้นๆ
ในปี 2553 สมัยรัฐบาล อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธีระ วงศ์สมุทร ได้เสนอยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2555-2559 ให้ ครม. พิจารณา โดยมีเป้าประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกกล้วยไม้ให้ได้ 10,000 ล้านบาท ในปี 2559 ซึ่ง ครม. เห็นชอบในหลักการเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 แต่ปรากฏว่าตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มูลค่าการส่งออกกล้วยไม้ไทยอยู่ในระดับ 2,000 ล้านบาทต้นๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว และมีแนวโน้มจะลดลง เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน โดยเฉพาะในปี 2554 แหล่งผลิตกล้วยไม้สำคัญๆ ถูกน้ำท่วมเสียหายเป็นจำนวนมาก กว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ก็ต้องใช้เวลา มากกว่า 2 ปีล่าสุดปี 2558 มูลค่าการส่งออกกล้วยไม้อยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านบาท
เหลือเวลาอีกเพียงปีเดียว จะกระโดดให้ถึง 10,000 ล้านบาทคงต้องมีปาฏิหาริย์.........
จะว่าไปความพยายามของภาครัฐก็มีอยู่มาก อาจจะต่อเนื่องบ้าง ไม่ต่อเนื่องบ้าง แต่ความร่วมมือจากชาวสวนกล้วยไม้ และคนในวงการกล้วยไม้เองต้องถามว่า มีมากพอหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบ ชมรม หรือสมาคม ที่เกี่ยวกับกล้วยไม้ของไทย มีเป็นจำนวนมาก แต่ทุกชมรม หรือสมาคม ก็ไม่ได้คิดที่จะร่วมมือกันพัฒนาวงการกล้วยไม้ในภาพรวม ได้แต่อยู่ในกลุ่มของตนเอง ไม่ต้องอะไรมาก แค่การประกวดกล้วยไม้แต่ละครั้งก็วิ่งล็อบบี้กรรมการกันจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ จะหวังอะไรมากไปกว่านี้........
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี