ปัญหาสุขภาพของคนในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคอาหารที่เจือปนไปด้วยสารพิษตกค้าง ผู้บริโภคจึงหันมาใส่ใจสุขภาพโดยเลือกบริโภคสินค้าที่ปลอดภัยมากขึ้น สินค้าที่มีการผลิตด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ ที่ไม่ใช้สารเคมีทุกชนิดจึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
คุณศิวพร เอี่ยมจิตกุศล เจ้าของสวนกานต์ธิดา เลขที่ 91 หมู่ที่ 8 ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เป็นผู้บริโภครายหนึ่งที่ประสบกับปัญหาสุขภาพจากการบริโภคพืชผักที่มีสารพิษตกค้าง จนนำไปสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อบริโภคเองและป้อนสู่ตลาดให้กับผู้บริโภครายอื่น
คุณศิวพร เล่าว่า ตนพื้นเพเป็นคนกรุงเทพมหานคร ใช้ชีวิตแบบคนเมือง ซึ่งก็ประสบกับปัญหาสุขภาพ เป็นภูมิแพ้อย่างหนัก เวลาทานผักที่มีสารเคมีตกค้าง เช่น คะน้า จะอาเจียนทุกครั้ง และยังตรวจพบก้อนเนื้อบริเวณหน้าอก จึงตัดสินใจมาใช้ชีวิตที่ จ.จันทบุรี โดยซื้อที่ดิน 30 ไร่ มีต้นทุเรียนอยู่เดิมประมาณ 200 ต้นมาปลูกเงาะ มังคุด ลองกองเพิ่มให้เต็มพื้นที่ ซึ่งระยะแรกใช้สารเคมีเพราะไม่มีความรู้ด้านเกษตร ได้ผลผลิตดีสามารถสร้างรายได้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ต้นทุเรียนกลับทรุดโทรมลงเรื่อยๆ จึงค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือเกี่ยวกับเกษตรกรรมยั่งยืน และตั้งปณิธานว่าจะผลิตอาหารที่ปลอดภัย ซึ่งเกษตรอินทรีย์คือทำตอบ
แต่ด้วยเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่มีความรู้การทำเกษตรอินทรีย์มาก่อน จึงเข้าไปขอคำแนะนำจากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรี (สวพ.6) กรมวิชาการเกษตร ซึ่งได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตเกษตรอินทรีย์ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปรับปรุงบำรุงดินให้ฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ การทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง การควบคุมป้องกันโรคและแมลงโดยชีววิธี การปรับระบบนิเวศน์ทำแนวกันชนโดยปลูกไม้ยืนต้น ทำคันคูร่องน้ำกั้นเขตแนวสวนของตนเองกับสวนของคนอื่น เรียกว่า สวพ.6 เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงสอนทุกอย่างจนกระทั่งปี 2550 ได้รับการรับรองแหล่งผลิตพืชอินทรีย์จากกรมวิชาการเกษตร
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องเผชิญปัญหามากมาย เช่น ปลูกเงาะในพื้นที่ลุ่มที่ไม่เหมาะสมเพราะจังหวัดจันทบุรีมีปริมาณฝนตกมากในแต่ละปี ต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่มาทำนาอินทรีย์แทนพอเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จก็ปลูกผักอินทรีย์ โดยผักที่ปลูกจะเน้นไปที่ 7 ชนิดอันตรายที่มีสารเคมีตกค้างมากที่สุด ได้แก่ ถั่วฝักยาว แตงกวา ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า พริกขี้หนู ผักชี และน้องใหม่ที่มีอันตรายไม่แพ้ที่กล่าวมาข้างต้นคือ กะเพรา ทั้งนี้ สาเหตุที่เลือกปลูกผักเหล่านี้เพราะต้องการแสดงให้เกษตรกรรายอื่นเห็นว่าที่เขามักพูดกันว่าทำอินทรีย์ไม่ได้หรอกแท้จริงนั้นคือสามารถทำได้
ศิวพร เอี่ยมจิตกุศล
ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาวะโลกร้อนส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นแค่เพียง 1-2 องศาเซลเซียสก็ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรแล้ว ความร้อนมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ไหนจะปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำอีก จึงมีแนวคิดว่าถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำเกษตรโดยลดพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ อย่างทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มาปลูกพืชผักอายุสั้นแทน เนื่องจากไม้ผลต้องการใช้น้ำปริมาณมาก พื้นที่ 30 ไร่ จะรดน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดต้องใช้เวลากว่า 2 วัน ขณะที่ปลูกผักรดน้ำแค่วันละ 15 นาทีช่วงเช้าและเย็นเท่านั้น ที่สำคัญ สวพ.6 ยังแนะนำให้ใช้ระบบน้ำหยด เป็นเทคโนโลยีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับแนะนำเรื่องการปลูกพืชในช่วงฤดูแล้งให้ใช้สแลนคลุมเพื่อลดความร้อน หรือปลูกในโรงเรือนพลาสติกช่วงฤดูฝนเพื่อป้องกันโรคเน่า ส่งผลให้สามารถปลูกผักได้ตลอดทั้งปี
อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นจนสามารถผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกษตรกรดีเด่น สาขาการผลิตพืชในระบบเกษตรอินทรีย์ ของสวพ.6เป็นเกษตรกรต้นแบบ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรรายอื่นที่สนใจ รวมถึงสวนกานต์ธิดาก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นแปลงต้นแบบเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ตลอดจนเป็นแปลงทดลองที่ทาง สวพ.6 จะนำงานวิจัย เช่น การใช้ปุ๋ยตามคำแนะนำแต่ละชนิดพืชการใช้ไส้เดือนฝอยควบคุมแมลง เข้ามาศึกษาเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการขยายผลต่อไป
คุณศิวพร กล่าวด้วยว่า คำถามที่มักได้รับเสมอเวลาไปถ่ายทอดเรื่องเกษตรอินทรีย์ คือ ทำได้เหรอ และทำแล้วจะขายใครซึ่งเรื่องทำได้นั้นก็พิสูจน์แล้วว่าเกษตรอินทรีย์สามารถทำได้จริงที่สวนแห่งนี้ก็มีทั้งไม้ผลอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์ ผักอินทรีย์ มีการเลี้ยงวัว เป็ด ห่านด้วย แต่เรื่องทำแล้วขายใคร ตลาดอยู่ที่ไหนเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องกลับมาหวนคิด และเกิดเป็นแรงผลักดันให้ตนต้องทำตลาดให้เกษตรกรรายอื่นเห็นว่าทำแล้วขายได้ เริ่มจากไปติดต่อนำผลผลิตไปวางจำหน่ายในโรงเรียนทางเลือก คือโรงเรียนรุ่งอรุณ และโรงเรียนปัญโญทัย รวมถึงโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ดูเป็นตัวอย่างอยู่หลายปีถึงมีเกษตรกรสนใจเข้ามาเป็นเครือข่ายผลิตเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ส่วนตัวเองก็ได้ขยายจากตลาดในชุมชน ในจังหวัด ก็เพิ่มเป็นส่งจำหน่ายให้กับห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ทำให้มีแหล่งรับซื้อผลผลิตที่แน่นอนสามารถเป็นตัวอย่างให้กับเกษตรกรรายอื่นได้ดีกว่าเดิม
“แต่ข้อจำกัดของการทำเกษตรอินทรีย์ทุกวันนี้ ที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจทำอินทรีย์มากเท่าที่ควร เกิดจากราคาจำหน่ายที่ไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากผู้บริโภคยังคาดหวังว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ต้องถูกเหมือนเคมี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะกระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์นั้นมีต้นทุนสูงกว่าโดยเฉพาะช่วงแรกที่เป็นระยะปรับเปลี่ยนจากเคมีสู่อินทรีย์ ดินเสื่อมโทรมต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำนวนมาก ซึ่งหมายถึงต้องใช้แรงงานคนในการดำเนินการ ยังมีเรื่องการควบคุมวัชพืชก็ต้องใช้แรงงานคนเช่นกัน จึงเป็นต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตามไปด้วย ไม่เหมือนกับเคมีถ้าใช้ยาฆ่าหญ้าครั้งหนึ่งคุมหญ้าได้ 3 เดือน ก็ประหยัดต้นทุนตรงส่วนนี้ไปได้ แต่ถ้าเปรียบเทียบกันในระยะยาวแล้วหากดินเริ่มฟื้นตัวอินทรียวัตถุสะสมในดินเพิ่มขึ้น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ก็ลดลง เกษตรกรก็ลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี สารเคมีและปัจจัยภายนอกได้ในที่สุด ผลผลิตที่ได้ก็มีคุณภาพ แม้ว่ารายได้ตอนนี้อาจจะน้อยหรือเทียบเท่ากับการผลิตแบบเคมี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำเกษตรอินทรีย์คือเรื่องความปลอดภัยทั้งต่อตัวเกษตรกรและผู้บริโภค ซึ่งหาอย่างอื่นมาเทียบไม่ได้เลย” เกษตรกรต้นแบบ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี