25 เม.ย.61 ที่ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ได้มีการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) โดยมีนายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ เดินทางมาร่วมประชุมด้วย ท่ามกลางความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากนายเปรมชัย ตกเป็นผู้ต้องหาคดีล่าเสือดำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
มีรายงานว่า ผู้ถือหุ้นของอิตาเลียนไทยฯ ได้สอบถามถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯและสอบถามความคืบหน้าโครงการลงทุนต่างๆที่ได้มีการลงนามแล้ว อาทิ โครงการทวาย ที่ลงทุนในพม่า การลงทุนเหมืองในต่างประเทศ การขายหุ้น รวมถึงสอบถามถึงกรณีที่หุ้นของอิตาเลียนไทยได้มีการปรับลง
โดยนายเปรมชัย ยืนยันว่า บริษัทไม่ได้ถูกขึ้นแบล็กลิสต์จากหน่วยงานภาครัฐใดๆ จะมีแต่ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกลับมาและขอให้ตั้งใจทำงาน พร้อมกับกล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของ ITD ต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า ในปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้แตะระดับ 1 แสนล้านบาท จากงานในมือ ที่มีอยู่ประมาณ 5 แสนล้านบาท โดยเป็นงานที่เซ็นสัญญาแล้วรวม 3.2 แสนบ้านบาท จากในประเทศ 2 แสนล้านบาทและต่างประเทศ 1.2 แสนล้านบาท ส่วนงานที่รอเซ็นสัญญามีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานในประเทศมีระยะเวลารับรู้ภายใน3ปีนี้ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะอยู่ที่ราว 10% จากปีก่อน 11.9%
"ปีนี้รายได้เราแตะ 1 แสนล้านบาท เพราะงานในมือเรามี 5 แสนล้านบาทต้องทำให้เสร็จใน 3 ปี หรือ รับรู้รายได้ 1 ใน 3 ส่วนมาร์จิ้นก็ได้ 10% ไม่ควรจะต่ำกว่านั้นเพราะงานออกมาเยอะ แต่ก็จะสูงมากไม่ได้งานทางยกระดับ งานท่าเรือ เป็นงานที่เราถนัด" นายเปรมชัย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปีนี้จะได้งานใหม่เข้ามาไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีงานใหม่ 8.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากภาครัฐจะมีการทยอยเปิดประมูลงานใหม่จำนวนมาก หลังจากล่าช้ากว่าแผนเดิมในปีก่อน ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 9 เส้นทาง มูลค่ารวมกว่า 4 แสนล้านบาทโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการขยายท่าเรือมาบตาพุด และโครงการขยายท่าเรือแหลมฉบัง เป็นต้น
มีรายงานว่า ขณะเดียวกันสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยได้สอบถามถึงกรณีที่ นายเปรมชัย กรรณสูตร ถูกจับคดีล่าเสือดำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร โดยนายเปรมชัย ได้ตอบคำถาม โดยให้เหตุผลว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อการดำเนินงาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งการประมูลและการติดต่อประสานงานทุกหน่วยงาน โดยยืนยันยังสามารถดำเนินงานต่อไปได้ และดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
นอกจากนี้นายเปรมชัย กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังการประชุมผู้ถือหุ้นว่า “ผมไม่ได้ทำ ผมก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ได้โทรสอบถามทุกกรมทุกกระทรวงก็มีแต่คนเห็นใจผม"
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นการขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการของบริษัทหรือไม่
นายเปรมชัยกล่าวว่า "ผมก็ยังเป็นประธานบริหารต่อไป เพราะผมไม่ได้ทำ วันนั้น ผมไปถึง เย็นวันเสาร์ ผมก็ไปนอน ตื่นเช้ามา ก็เข้าไปทุ่งใหญ่และถูกจับในตอนเย็น และโดนกักขัง 2 วันสองคืน ติดต่อใครไม่ได้ เพราะถูกยึดโทรศัพท์ พอออกมา ก็เจอกับนักข่าวเป็นร้อย ส่วนภาพที่ออกมาก็ออกไปหมดแล้ว คิดว่าทางป่าไม้เป็นคนส่ง"
ด้าน นายไกรศร จิตธรรม ประธานกรรมการตรวจสอบ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ กล่าวว่า จากรณีทุ่งใหญ่นเรศวรที่สังคมและสื่อได้ตัดสินว่าผิดไปแล้ว และพยายามจะลงโทษทางใดทางหนึ่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พูดว่า ให้ดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงและตามข้อกฎหมาย ซึ่งในฐานะที่เราก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนชาวบ้านทั่วไป ตัวผมเองเป็นประธานกรรมการตรวจสอบ หน้าที่หลักของกรรมการคือดูแลผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น สิ่งแรกที่ทำหลังเกิดเหตุคือติดต่อกับผู้บริหารว่า พยายามจะดูผลกระทบการเลิกงานการขึ้นแบ็กลิสต์ การเพิกถอนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็พยายามหาข้อมูลและติดตามมากที่สุด
"จะบอกว่าไม่ได้รับผลกระทบเลยคงไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือเพื่อนสนิทที่เป็นกรรมการ และทำงานเกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อมต้องลาออกไป สำหรับผลกระทบการดำเนินโดยตรงคงไม่มี เพราะจากงานที่มีอยู่ในมือและรอรับรู้รายได้ในอนาคตเกือบ 5 แสนล้านบาทซึ่งเพียงพอต่อระยะสั้นและระยะกลาง แต่ระยะยาวคือสิ่งที่บริษัทกำลังเตรียมคนรุ่นใหม่"นายไกรศร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี