กสม.หนุนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ-สำนักงานศาลยุติธรรมแก้ไข"ป.วิอาญา" ระบุรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยปี2560 พบนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ปลอดภัยในชีวิต แถมจนท.รัฐคุกคาม ฟ้องร้องคดี เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน
2 ส.ค.61 นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลการร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ระหว่างปี 2557 - 2560 และรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี 2560 กสม.พบว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยประสบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เช่น หายตัวไป ถูกลอบสังหาร รวมทั้งถูกข่มขู่คุกคามจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน (Strategic Litigation Against Public Participation : SLAPP) โดยการดำเนินคดีแพ่งหรือคดีอาญาเพื่อยับยั้งหรือข่มขู่การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ อันเป็นการกดดันให้บุคคลที่ถูกดำเนินคดีจำต้องระงับการแสดงความคิดเห็น ยอมความ และยุติการตรวจสอบประเด็นสาธารณะ
นายวัส กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าวที่ประชุม กสม.ได้พิจารณาหลักการ วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการตราร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. .... ที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสำนักงานศาลยุติธรรม ที่มีหลักเกณฑ์การปล่อยตัวชั่วคราวและการใช้สิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีหรือการดำเนินการกระบวการพิจารณาคดีอาญา โดย กสม.เห็นสมควรสนับสนุนมาตรา 8 แห่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่ให้เพิ่มมาตรา 161/1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 161/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาพร้อมกับส่งความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ไปให้นายกรัฐมนตรี และประธาน สนช.พิจารณาแล้ว
สำหรับเนื้อหาระบุว่า "ในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ หากความปรากฏต่อศาลว่า โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลยหรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ ศาลจะมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องคดีนั้นก็ได้ และห้ามโจทก์ยื่นฟ้องคดีนั้นอีก คำสั่งเช่นว่านี้ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่"
โดยหลักการในตราร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุว่า การฟ้องคดีอาญาในปัจจุบันปรากฏปัญหาว่า คดีจำนวนไม่น้อยที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลยหรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ โดยเฉพาะการฟ้องร้องเพื่อคุกคามการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของจำเลยในการป้องกันตนเองหรือป้องกันประโยชน์สาธารณะ ทำให้มีคดีขึ้นสู่การไต่สวนมูลฟ้องของศาลเป็นจำนวนมากซึ่งสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ถูกฟ้องร้องและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หลักการในการตราร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่มีต่อรัฐบาลเมื่อต้นเดือน เม.ย.61 ว่า รัฐบาลยังควรดูแลว่า การฟ้องหมิ่นประมาทจะไม่ถูกธุรกิจนำมาใช้เป็นเครื่องมือบั่นทอนสิทธิและเสรีภาพอันชอบธรรมของผู้ได้รับผลกระทบ องค์กรประชาสังคม และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
"การเพิ่มบทบัญญัติมาตรา 161/1 ไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะเป็นการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องดำเนินคดีในลักษณะดังกล่าว รวมทั้งมีผลเป็นการปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลและชุมชน ในการป้องกันตนเองและปกป้องประโยชน์สาธารณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภาพรวม ทั้งยังอาจส่งผลไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในโอกาสทางสังคมอันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของชาติ 20 ปีด้วย" ประธาน กสม.กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี