ลุงวัย 53 ปีชาว อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ แทบช็อกถูกบริษัทที่เคยไปทำงานขับรถรับส่งของ สวมชื่อเป็นผู้มีรายได้หมุนเวียนปีละเกือบ 2 ล้านบาท จนถูกสรรพากรส่งหนังสือมาเรียกเก็บภาษีถึงบ้าน ซ้ำยังเสียโอกาสทำบัตรคนจนไม่ได้ ล่าสุดเข้าแจ้งความเป็นหลักฐานแล้ว จี้บริษัทออกมารับผิดชอบ
20 ส.ค.61 นายเลียบ เมียดเตียบ อายุ 53 ปี ชาวบ้านบ้านพาชี ม.7 ต.ปังกู อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ พร้อมภรรยา และลูกสาว ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรม หลังจากได้มีเจ้าหน้าที่สรรพากรสาขาประโคนชัย มาพบที่บ้านโดยแจ้งว่าให้ไปยื่นแบบภาษี เนื่องจากตรวจสอบในระบบพบว่านายเลียบ เมียดเตียบ มีชื่อเป็นผู้มีรายได้หมุนเวียนปีละกว่า 1,600,000 บาท ตั้งแต่ปี 2559 ที่ผ่านมา ทั้งที่นายเลียบ และครอบครัวมีอาชีพรับจ้างทั่วไปและมีฐานะยากจน โดยขณะที่เจ้าหน้าที่สรรพากรมายื่นหนังสือแจ้งให้ทราบ มีเพียงผู้เป็นภรรยา และบุตรสาวอาศัยอยู่บ้าน แต่นายเลียบ ไปทำงานก่อสร้างอยู่ที่ จ.นครปฐม ด้วยความตกใจลูกสาวจึงโทรศัพท์ไปบอกพ่อให้รีบเดินทางกลับมาบ้าน
จากการสอบถามนายเลียบ เมียดเตียบ เล่าว่า เมื่อปี 2559 ตนไปทำงานให้กับ บริษัท แห่งหนึ่ง ที่ จ.สมุทรปราการ โดยใช้หลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และใบอนุญาตขับขี่ เป็นหลักฐานตอนสมัครงาน มีหน้าที่ขับรถรับจ้างขนส่งเป็นเที่ยว รวมมีรายได้จากบริษัทนี้ประมาณ 10,000-12,000 บาทต่อเดือน โดยรับเงินค่าจ้างจากบริษัทเป็นเงินสดไม่ได้ผ่านบัญชี แต่ทำงานได้แค่ประมาณ 2 เดือนก็ลาออกเพราะมีธุระที่ต้องเดินทางกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่บริษัทดังกล่าวอีก หลังเสร็จธุระที่บ้านก็ไปทำงานรับจ้างก่อสร้างที่ จ.นครปฐม จนกระทั่งลูกสาวโทรไปบอกว่า มีเจ้าหน้าที่จากสรรพากรมาแจ้งให้ไปยื่นแบบภาษี โดยระบุว่า ตนมีเงินรายได้ปีละกว่า 1,600,000 บาท จึงรีบกลับบ้านเพื่อจะเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงกับสรรพกร ว่า ตนมีอาชีพรับจ้างทั่วไปหาเช้ากินค่ำมีรายได้เพียงวันละ 300-400 บาทเท่านั้น และไม่เคยไปทำธุรกรรมใดๆ
นายเลียบ ยังบอกด้วยว่า ที่ผ่านมาตนกับภรรยา เคยไปยื่นขอทำบัตรคนจนตามโครงการของรัฐบาล แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่ผ่านเพราะตรวจสอบในระบบพบว่ามีรายได้เฉลี่ยเดือนละกว่า 1 แสนบาท ทั้งที่ไม่เป็นความจริง จึงเชื่อว่าน่าจะถูกปลอมแปลงเอกสารไปทำธุรกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ทำมีชื่อเป็นผู้มีรายได้ ปีละกว่าล้านบาทดังกล่าว กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ตนและครอบครัวเดือดร้อนมาก นอกจากจะต้องถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษีแล้ว ครอบครัวยังเสียโอกาสที่จะได้รับสวัสดิการจากภาครัฐตามที่ควรจะได้ด้วย จึงอยากจะเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาตรวจสอบช่วยเหลือและหาทางแก้ไขปัญหาให้กับตนและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากนายทุนที่เห็นแก่ตัวเอาชื่อของตนไปทำอย่างอื่นโดยที่ตนไม่รู้เห็นด้วย ซึ่งเบื้องต้นก็ได้ไปแจ้งลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ไว้เป็นหลักฐานแล้ว แต่หากทางบริษัทไม่ออกมารับผิดชอบ ก็จะแจ้งความเอาผิดตามกฎหมายต่อไป
ด้าน น.ส.ปภาวรินทร์ เมียดเตียบ อายุ 28 ปี ลูกสาว นายเลียบ เล่าว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหน้าที่สรรพกรพื้นที่ อ.ประโคนชัย มาที่บ้านถามหาพ่อ จึงบอกไปว่าพ่อทำงานก่อสร้างที่ จ.นครปฐม จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เอาหลักฐานเป็นกระดาษรายงานระบบสรรพากร ระบุชื่อนายเลียบ เมียดเตียบ ว่ามีเงินรายได้ปีละกว่า 1,600,000 บาท ตั้งแต่ปี 2559 ทำให้ครอบครัวตกใจมาก จึงโทรศัพท์ให้พ่อซึ่งทำงานก่อสร้างที่ จ.นครปฐม กลับบ้านด่วน เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีเนื่องจากไม่เสียภาษีตามกฎหมาย
จากนั้น ตนได้โทรศัพท์ไปสอบถาม บริษัทฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่สรรพกร ระบุว่า พ่อของตนมีรายได้เป็นค่าขนส่งจากบริษัทนี้ โดยพนักงานบริษัทอ้างว่า เป็นความผิดพลาดทางบัญชี และคนที่ทำบัญชีก็ลาออกไปแล้ว ตนจึงถามไปว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะมีหลักฐานมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ต่อมาบริษัท ยอมรับว่า บริษัทได้เอาชื่อพ่อของตนเข้าไปเป็นผู้มีรายได้จากบริษัทจริง พร้อมจะชดใช้ค่าภาษีที่จะต้องจ่ายให้ แต่ขอร้องไม่ให้ไปแจ้งความดำเนินคดี ตนคิดว่าการกระทำของบริษัทไม่ถูกต้อง เพราะส่งผลกระทบกับครอบครัวหลายด้าน ทั้งต้องเสียสิทธิ์ทำบัตรคนจนไม่ได้ และไม่ทราบว่าภายหน้าจะโดนอะไรอีกกับการถูกบริษัทสวมชื่อแบบนี้ จึงอยากให้ทางบริษัทออกมาแสดงความรับผิดชอบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี