ลาวแอร์ไลน์ตกกลางน้ำโขง

ตายยกลำ!

ดับ51ศพ'คนไทย'สังเวย5

เซ่นฤทธิ์พายุ'นารี'พัดถล่ม

กทม.อ่วมน้ำรถติดทั่วเมือง

พิมายกระอักท่วมสูง1เมตร

คอสะพานไทย-เขมรยับเยิน

เกิดโศกนาฏกรรมสายการบิน “ลาวแอร์ไลน์” ตกกลางแม่น้ำโขงฝั่งเมืองโพนทอง ประเทศลาว มีผู้เสียชีวิต 51 ศพ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่า สาเหตุอาจเกิดจากทัศนวิสัยอันเลวร้าย จากสภาพอากาศที่เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก เนื่องจากอิทธิพลของลมพายุ “นารี”

โดยสำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อเวลา 16.45 น. วันที่ 16 ตุลาคม ได้เกิดเหตุเครื่องบินแบบ ATR เที่ยวบิน QV 301 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็กของสายการบินลาวแอร์ไลน์ บินขึ้นจากสนามบินวัดไตเมืองเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มุ่งหน้าสู่เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ประสบอุบัติเหตุตกลงกลางแม่น้ำโขงก่อนนำเครื่องลง โดยจุดเกิดเหตุอยู่ที่ฝั่งเมืองโพนทอง ตรงข้ามเมืองปากเซของลาว โดยสถานีโทรทัศน์ LAO PSTV รายงานว่า ในเครื่องลำดังกล่าวมีผู้โดยสารรวมลูกเรือ 51 ชีวิต ซึ่งคาดว่าจะเสียชีวิตทั้งหมด เนื่องจากสภาพเครื่องบินระเบิดแตกเป็นเสี่ยง ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากอากาศแปรปรวนเพราะอิทธิพลของพายุนารี

ขณะที่ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า บนเครื่องบินลำดังกล่าว มีผู้โดยสารคนไทยจำนวน 5 ราย แต่ต้องรอให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวียงจันทร์ ตรวจสอบรายละเอียดให้แน่ชัดว่า ทั้งหมดเสียชีวิตแล้วหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า สำหรับผู้เสียชีวิตทั้งหมดซึ่งมีคนไทยรวมอยู่ด้วยนั้น เบื้องต้นทราบชื่อแล้ว 2 ราย คือ นายยรรยง อาภานันท์ อายุ 29 ปี และ นายนิพล เหม็งศรี เป็นพนักงานของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)

สนามบินวัดไต เมืองเวียงจันทน์ มุ่งหน้าสู่เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ประสบอุบัติเหตุตกลงกลางแม่น้ำโขงก่อนนำเครื่องลง โดยจุดเกิดเหตุอยู่ที่ฝั่งเมืองโพนทอง ตรงข้ามเมืองปากเซของลาว ซึ่งเบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิต 39 ราย รวมทั้งกัปตัน ลูกเรือ และผู้โดยสาร แต่ยังไม่มีรายงานว่า มีคนไทยอยู่ในเครื่องบินลำดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่คนไทยนิยมเดินทาง ส่วนสาเหตุกำลังมีการตรวจสอบอยู่ว่า อาจเกิดจากสภาพอากาศแปรปรวนเนื่องจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น “นารี” ที่พัดขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนาม

อุตุฯชี้“นารี”อ่อนกำลังลง

วันเดียวกัน กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนฉบับที่ 16 พายุไต้ฝุ่น “นารี” ได้ขึ้นฝั่งที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนามแล้ว และได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน พายุดีเปรสชั่น และหย่อมความกดอากาศต่ำอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงเวลา 04.00 น. วันเดียวกัน ได้แผ่อิทธิพลเข้าปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบริเวณ จ.มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ส่งผลให้เกิดฝนตกในหลายพื้นที่ รวมทั้ง กทม.

กทม.โดนพิษ“นารี”รถติดทั่วกรุง

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า อิทธิพลของพายุนารีที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดฝนตกลงอย่างหนักในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ทำให้เกิดน้ำท่วมขังและเกิดปัญหาการจราจรทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน อาทิ ที่บริเวณ ถ.สุวินทวงศ์ ตัด ถ.หทัยราษฎร์ ถึง ซ.สุวินทวงศ์ 58 มีน้ำท่วมสูง 30-40 ซ.ม. ถ.พหลโยธินแยกพลาธิการ ถ.รามอินทรา ขาเข้า บริเวณ กม.2 ถ.ศรีนครินทร์แยกกรุงเทพกรีฑา ถ.ติวานนท์ หน้าหมู่บ้านมิตรประชา ถ.สุคนธสวัสดิ์ ถ.พหลโยธินแยกลำลูกกา ทางด่วนบางพลีสุขสวัสดิ์

ท่อประปายักษ์แตกซ้ำรถติดหนัก

นอกจากนี้ ที่บริเวณ ถ.ราชปรารภ แยกมักกะสัน ได้เกิดเหตุท่อประปาใต้ดินขนาดใหญ่แตก ทำให้เกิดน้ำท่วมสูงเสมอทางเท้าทุกช่องทาง ทั้งขาเข้าและขาออก ส่งผลให้การจราจรในเส้นทางถนนราชปรารถ จากแยกประตูน้ำมุ่งหน้าแยกมักกะสัน รถติดหนาแน่น ทิศทางกลับกัน จากแยกดินแดง มุ่งหน้าแยกมักกะสัน รถติดหนาแน่นเช่นกัน ถ.จตุรทิศ จากพระราม 9 มุ่งหน้ามักกะสัน รถติดหนาแน่น

กปน.แจงต้องใช้เวลาซ่อม6-7ช.ม.

นายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ รักษาการผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) เปิดเผยว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 04.00 น. โดยบริเวณดังกล่าวมีการก่อสร้างท่อร้อยสายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งรถแบ็คโฮของผู้รับเหมาได้ทำงานแล้วไปกระทบโดนท่อประปาที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 3 ม. ทำให้ท่อแตกเกิดน้ำไหลทะลักเป็นจำนวนมาก โดยปิดวาล์วน้ำสำเร็จเมื่อเวลา 08.00 น. และจัดเจ้าหน้าที่ไปเร่งสูบน้ำออกจากอาคารบ้านเรือนประชาชน และผิวจราจร คาดว่าจะใช้เวลา 6-7 ชั่วโมง ในการซ่อมแซมจนเสร็จ

กทม.แจงฝนตก100%ทั้งพื้นที่

ศูนย์ควบคุมระบบป้องกันน้ำท่วม กทม. รายงานว่า พื้นที่ กทม. มีฝนตกปกคลุม 100% ของพื้นที่ ตั้งแต่เวลา 01.00น. โดยปริมาณฝนสะสมสูงสุด เมื่อเวลา 08.00 น. วัดได้ที่เขตมีนบุรี 90 มิลลิเมตร (มม.) คาดว่าจะเพิ่มสูงสุดกว่า 100 มม. อย่างไรก็ตามฝนที่ตกลงมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่มากนัก เพียงแต่ทำให้ปริมาณในคลองเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะคลองในพื้นที่ตะวันออก ซึ่งต้องเร่งระบายต่อไป

ชลบุรีน้ำท่วมหลายเส้นทาง

ส่วนที่ จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ปริมาณน้ำได้หลากท่วมเส้นทางจราจรหลายเส้นทาง อาทิ ถนนสาย 344 บ้านบึง-แกลง บริเวณสะพานต่างระดับเข้าเขตเทศบาลเมืองบ้านบึง น้ำท่วมผิวจราจรสูง 30-40 เซนติเมตร เป็นระยะทางกว่า 300 เมตร ขณะที่ อ.ศรีราชา เกิดน้ำท่วมขังผิวจราจรในเขตเทศบาลเมือง อ.พานทอง น้ำท่วมขังในเขตเทศบาลตำบลหนองตำลึง การจราจรเริ่มติดขัด และ อ.พนัสนิคม พื้นที่ลุ่มใน ต.โคกเพลาะ ที่น้ำยังท่วมขังอยู่ เริ่มมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น

“พิมาย”กระอักท่วมสูง1เมตร

จ.นครราชสีมา ได้รับอิทธิพลจากพายุนารีส่งผลให้มีฝนตกกระจายทั้ง 32 อำเภอ ทำให้มีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นน้ำท่วมแบบฉับพลัน ซึ่งเกิดจากการระบายน้ำไม่ทัน ระดับความสูงเฉลี่ย 30-50 เซนติเมตร ยานพาหนะขนาดเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านได้หลายจุด ขณะที่ อ.พิมาย น้ำในลำน้ำมูลและลำน้ำจักราชได้เอ่อล้นตลิ่งไหลเข่าท่วมในพื้นที่ ต.กระชอน กับ ต.ชีวาร ระดับน้ำท่วมสูง 80 ซม.-1 เมตร

อุบลเตือนปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น

ที่ จ.อุบลราชธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณตอนใต้ของจังหวัด เช่น อ.น้ำยืน นาจะหลวย บุณฑริก โดยปริมาณน้ำฝนวัดได้มากที่สุดที่อำเภอน้ำยืน 100.00 มิลลิเมตร รองลงมาเป็นอำเภอบุณฑริก 86.00 มิลิเมตร ส่วนอำเภอเมืองอุบลราชธานีมีฝน 55.4 มิลลิเมตร

น้ำซัดเขื่อนดินอำนาจเจริญขาด

วันเดียวกัน ที่ จ.อำนาจเจริญ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อิทธิพลของพายุนารีรวมทั้งพายุฝนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทำให้เขื่อนดินกั้นน้ำลำเซบายที่บ้านดอนหว่าน ต.หัวตะพาน อ.หัวตะพาน ถูกกระแสน้ำพัดขาดเป็นทางยาว 50 เมตร ทำให้น้ำไหลท่วมนาข้าวกว่า 2 หมื่นไร่ การสัญจรไปมาลำบาก

“มหาสารคาม”ข้าวเสียหายยับ

เช่นเดียวกับที่ จ.มหาสารคาม ซึ่งเกิดฝนตกติดต่อกันตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นวันที่ 15 ตุลาคมจนถึงเช้าวันเดียวกันนี้ และมีลมพัดแรง ทำให้ต้นข้าวที่กำลังออกรวงในทุ่งนา ถูกแรงลมพัดจนล้มทับกัน และมีข้าวบางส่วนแช่อยู่ในน้ำ โดยชาวบ้านคาดว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้อีกประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นข้าวอาจเน่าเสียหายได้

“กาฬสินธุ์”ระดมเครื่องสูบรับมือ

ด้าน นายสุวิทย์ สุบงกฎ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า อิทธิพลของพายุนารี ทำให้เริ่มมีฝนตกหนัก ซึ่งจะทำพื้นที่มีริมตลิ่งแม่น้ำชีประกอบด้วย อ.ฆ้องชัย อ.กมลาไสย มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน จึงสั่งการให้ ชลประทานจังหวัด เตรียมเครื่องสูบน้ำรวม 80 เครื่อง เข้าพร้อมที่จะทำการระบายน้ำทันทีหากพบความผิดปกติ

น้ำซัดคอสะพานไทย-เขมรพัง

ส่วนที่บริเวณ ถ.ช่องสะงำ-ละลม ช่วงบ้านแซไปร หมู่ที่ 4 ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ อิทธิพลลมฝนจากพายุนารี ทำให้เกิดฝนตกหนักบริเวณแนวเทือกเขาพนมดงรัก และเกิดน้ำป่าไหลเข้ากัดเซาะบริเวณคอสะพานข้ามชายแดนไทย-กัมพูชาได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นจากเดิม หลังจากที่เคยได้รับความเสียหาย ถูกน้ำป่ากัดเซาะไปเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยรถบรรทุกไม่สามารถแล่นผ่านไปได้ เนื่องจากน้ำป่ากัดเซาะคอสะพาน เหลือความกว้างเพียง 2 เมตร สามารถผ่านได้เพียงช่องทางเดียว

สุรินทร์จับตา3อำเภอท่วมอีก

ที่ จ.สุรินทร์ สำนักงานชลประทานจังหวัด ได้แจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ท้ายอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง ให้ระวังน้ำท่วมอีกรอบ เนื่องจากมีการปล่อยน้ำลงสู่ทางระบายน้ำวันละ 3.5 ล้าน ลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาแม่น้ำมูลในพื้นที่ 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ชุมพลบุรี ท่าตูม และรัตนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำผ่านมาจาก นครราชสีมา และ บุรีรัมย์ ที่กำลังไหลเข้ามาสมทบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบได้