ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเมื่อวันที่ 25 กันยายน เห็นชอบร่างข้อบังคับการประชุม สนช. ซึ่งเปิดช่องให้มีการพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรวมอยู่ด้วย โดยผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 26 กันยายน ระหว่างการประชุมของ สนช. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ข้อบังคับการประชุม สนช. ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเดียวกันนี้เป็นต้นไป จึงขอให้สมาชิกปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมอย่างเคร่งครัด
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ สนช. ได้เสนอญัตติด่วนเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อสรรหา สนช. มาดำรงตำแหน่งใน กมธ. ทั้ง 16 คณะ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบที่จะตั้ง กมธ. ชุดดังกล่าว 12 คน โดยใช้เวลาทำงานทั้งหมด 15 วัน
ด้าน นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. เปิดเผยว่า ขั้นตอนต่อจากนี้ จะแจกแบบฟอร์มแก่สมาชิกเพื่อแจ้งความจำนงว่า ต้องการไปอยู่ในกมธ.คณะไหน โดยตามข้อบังคับสมาชิก 1 คน สามารถลงชื่อได้ 2 คณะ ซึ่งวิธีการจัดสมาชิกเข้าประจำกมธ.จะจัดตามความต้องการในลำดับที่ 1 ก่อน ถ้าคณะไหนเกินจำนวน จะต้องมีการจัดคนให้เท่ากัน หากยังไม่ได้ข้อสรุปก็ต้องมีการจับสลาก ส่วนเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึงรายละเอียด แต่ถ้ามีการส่งเรื่องเข้ามาคณะกรรมการประสานงาน (วิป) สนช. ก็ต้องนำมาพิจารณาเสนอเป็นวาระเข้าสู่ที่ประชุมอยู่แล้ว
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติส่งเรื่องให้วุฒิสภาดำเนินการถอนถอด 4 กรณี คือ 1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตจำนำข้าว 2.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา 3.นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ 4.อดีตสว.จำนวน 36 คน จากรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ สว. โดยมิชอบ ซึ่งสามารถส่งเรื่องให้ สนช. ดำเนินการต่อได้ทันที ซึ่งแม้คดีถอดถอนหลายคดีจะเกี่ยวกับการกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งไม่มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ต้องดูรายละเอียดประกอบว่า มีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ร่วมด้วยหรือไม่ ถ้ามี สนช. ก็สามารถดำเนินการพิจารณาได้เลย ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องย้อนมาถามป.ป.ช.อีกรอบ เพราะป.ป.ช.มีรายละเอียดไว้หมดแล้วว่า ข้อกล่าวหาเข้าข่ายกระทำผิดตามกฎหมายใดบ้าง
ด้าน นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า สัปดาห์หน้า ป.ป.ช. จะส่งเรื่องการถอดถอนอดีต สว.กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา สว.โดยมิชอบ และคดีการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีโครงการรับจำนำข้าวยัง สนช. เพื่อพิจารณาตามกระบวนการ หลังจากนั้นก็ต้องให้เป็นหน้าที่ของ สนช. เป็นผู้พิจารณาแต่ละคดีว่า จะดำเนินการกระบวนการถอดถอนได้หรือไม่ ส่วนคดีก่อนหน้าที่ ป.ป.ช. ส่งไปแล้วคือกรณีถอดถอนนายสมศักดิ์และนายนิคมนั้น สนช.สามารถดำเนินการตามอำนาจได้เลย โดยที่ป.ป.ช.ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องไปให้อีก
นายสรรเสริญ กล่าวอีกว่า ป.ป.ช. กำลังเตรียมพิจารณาคดีการถอดถอนที่ยังค้างอยู่ใน ป.ป.ช. อีก 1 เรื่อง คือ การถอดถอนอดีต สส.พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลที่แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เรื่องที่มาสว.โดยมิชอบ หลังจากที่ต้องหยุดชะงักชั่วคราว เนื่องจากต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ สนช.ในการถอดถอนก่อน แต่ยังไม่มีวางกรอบว่า จะวินิจฉัยคดีได้เมื่อใด เพราะต้องไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติม
ขณะที่ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. เปิดเผยความคืบหน้าการตั้งคณะทำงานร่วมกับอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อพิจารณาส่งฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวว่า ในการประชุมของคณะทำงานร่วมเมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ฝ่ายอัยการสูงสุดขอสืบพยานเพิ่มเติม แต่ป.ป.ช.เห็นว่าพยานบางคน ฝ่ายเราเคยดูแล้วและไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรากล่าวหา ดังนั้นฝ่ายอัยการก็ต้องนำกลับไปพิจารณาว่าจะต้องสอบเพิ่มหรือไม่อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานต่างๆ ที่ฝ่ายอัยการสูงสุดขอเพิ่ม เช่น หลักฐานคำให้การของพยาน และหลักฐานสำคัญทางราชการต่างๆ ซึ่งป.ป.ช.หาให้ได้ทันที ดังนั้นจึงต้องรอดูผลการประชุมวันที่ 10 ตุลาคมอีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร แต่หากไม่สามารถสรุปได้ก็อาจจะต้องประชุมเพิ่มเติมอีกครั้ง ซึ่งคงใช้เวลาไม่นาน
นายปานเทพ เปิดเผยด้วยว่า ในการประชุม ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติตั้ง น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ให้ดูแลในงานในส่วนการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมืองที่ นายใจเด็ด พรไชยา อดีตกรรมการ ป.ป.ช. เคยดูแลอยู่ และตรวจสอบระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐร่วมกับ นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. นอกจากนี้จะเน้นหนักในเรื่องการไต่สวนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง และรัฐวิสาหกิจ เพราะ น.ส.สุภา มีความเชี่ยวชาญมากในเรื่องนี้
ด้าน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบโกดังข้าวทั่วประเทศซึ่งจนถึงขณะนี้ยังดำเนินการไม่เสร็จว่า ได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์ส่งหน่วยงานพิเศษเข้าไปตรวจพื้นที่ในสัปดาห์หน้า โดยตราบใดยังไม่สามารถตรวจโกดังข้าวได้ครบ 100% ก็ยังไม่สามารถถือว่า ตัวเลขผลการตรวจที่มีในขณะนี้เป็นข้อมูลทางการได้ และไม่สามารถรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นระยะเวลาในการตรวจข้าวอาจจะต้องขยายจนถึงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคม ทั้งนี้ตามระเบียบราชการแล้ว ตัวเลขการตรวจต้องให้ครบ เพื่อจะได้สามารถจำแนกเป็นตัน เป็นถัง สามารถระบุได้ว่า หลังจากการตรวจแล้ว ผลการตรวจรวมถึงคุณภาพข้าวโดยรวมเป็นอย่างไร ขาดหายเท่าไร โดยตัวเลขเหล่านี้ มีความยากในการรวบรวมและเก็บข้อมูล เพราะฉะนั้นจะรอให้เป็นการแถลงการณ์ครั้งสุดท้ายก่อน จึงจะสามารถเปิดเผยได้ครบถ้วน
สำหรับพื้นที่ที่มีข้าวหาย ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า ได้มีการสรุปรวมข้อมูลไว้ทั้งหมดแล้ว และขอให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ติดตามผล ดำเนินการแจ้งความพนักงานสอบสวนในพื้นที่ต่อไป ซึ่งในส่วนนี้เป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมาย สำหรับตัวเลขของพื้นที่ที่มีข้าวหายนั้น จะมีการเปิดเผยในแถลงการณ์ครั้งสุดท้าย เช่นเดียวกับข้อมูลของจำนวนข้าวที่คุณภาพสูงเพียงพอที่จะขายในท้องตลาดได้เช่นกัน ซึ่งในตอนนี้ มีข้าวที่มีคุณภาพดีอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เริ่มระบายออกขายเพื่อนำรายได้เข้าแผ่นดินแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี