วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557, 13.24 น.
23 ธ.ค. 57 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.สงขลา และหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ และนายศิริโชค โสภา รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ถึงกรณีที่จะมีการฟ้องร้องบุคคลที่โจมตีว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำความเสียหายต่อชาติในกรณีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) โดยนายศิริโชค แถลงว่า ประเด็น ปรส.เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยและนักวิชาการเสื้อแดงใช้เป็นประเด็นโจมตีให้พรรคเกิดความเสียหายมาโดยตลอด จึงมีความจำเป็นต้องฟ้องดำเนินคดี และขอชี้แจงความจริง 10 ประการเกี่ยวกับ ปรส. ดังนี้
1 วิกฤตเศรษฐกิจเกิดในสมัยพล.อ.ชวลิต ที่มีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังผิดพลาด ปล่อยให้นักการเมืองนำหลักทรัพย์ที่ไม่มีมูลค่าไปกู้เงิน เช่น กรณีธนาคารกรุงเทพและพาณิชยการ (บีบีซี) และมีการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปแทรกแซงเงินบาทจนหมดตัวก่อนลอยตัวค่าเงินบาท
2 การลาออกของ พล.อ.ชวลิต ไม่ใช่การรับผิดชอบแต่เป็นการทิ้งปัญหาเพราะคิดว่าประเทศไทยไปไม่รอด อีกทั้งก่อนลาออกยังได้ลงนามสัญญาทาสกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จนทำให้รัฐบาลต่อมาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น
3 องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. เกิดในสมัยพล.อ.ชวลิต มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีการแยกสถาบันการเงินที่มีปัญหาออกจากสถาบันการเงินที่ยังสามารถดำเนินการได้ด้วยการระงับสถาบันการเงินที่มีปัญหา 16 แห่ง เป็นการชั่วคราวในวันที่ 26 มิถุนายน 2540 และตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจคือ คณะกรรมการกำกับควบหรือโอนกิจการของสถาบันการเงิน (คคส.) ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 เพื่อกำกับดูแลการควบหรือรวมกิจการ กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน ต่อมารัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยังระงับการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินเพิ่มเติมอีก 42 แห่ง ในวันที่ 2 สิงหาคม 2540 รวมทั้งหมด 58 แห่ง โดยกำหนดให้มีการยื่นแผนฟื้นฟูให้ คคส.ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2540
4 รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ประกาศใช้พระราชกำหนด 6 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินการทั้ง 58 แห่ง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2540
5 ตามข้อจำกัดที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ทำสัญญากับไอเอ็มเอฟ ทำให้ ปรส.ต้องพิจารณาแผนการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 และประกาศผลการพิจารณาในวันที่ 7 ธันวาคม 2540 ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าบริหารประเทศในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 อีกทั้ง ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยการบริหารของ ปรส.ในขณะนั้นมีสถาบันการเงิน 2 แห่งจาก 58 แห่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการตามแผนฟื้นฟู โดยหนึ่งในนั้นคือ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งนางพนิดา เทพกาญจนา ภรรยาของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ในปี 2556 ป.ป.ช.ยังมีการชี้มูลความผิดผู้บริหาร ปรส.ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเกียรตินาคินด้วย
6 ยอดหนี้ที่ ปรส.เข้าไปสะสางมีเจ้าหนี้รวม 93,656 ราย มูลค่า 873,973.81 ล้านบาท เป็นหนี้กองทุนฟื้นฟูฯประมาณ 769,284.83 ล้านบาท 7 จากยอดหนี้ 769,284.83 ล้านบาท เป็นหนี้สินทรัพย์ไม่ใช่เป็นทรัพย์สินซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการลอยตัวค่าเงินบาทจึงทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นตามค่าเงินบาทที่อ่อนลงจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 50 บาทต่อดอลลาร์ 8 หลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันมีมูลค่าลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจและยังมีปัญหาว่าหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันในขณะนั้นเป็นหลักทรัพย์มีการประเมินราคาสูงเกินความเป็นจริง
9 ยอดสินทรัพย์ที่มีการประมูลขายคือ 748,091.78 ล้านบาท ได้เงิน 264,093.99 ล้านบาท และมีสินทรัพย์จำนวน 120,868.05 ล้านบาท เป็นหนี้ที่ต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาไม่สามารถนำไปประมูลขายได้ ดังนั้นจึงไม่มีการประมูลขายทรัพย์สินมูลค่า 873,973.81 ล้านบาท และได้เงินคืนเพียง 190,000 ล้านบาท ตามที่มีการปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิดและ
10 กรณีอ้างว่าคดี ปรส.หมดอายุความเดือนพฤศจิกายนเป็นเรื่องเท็จ เพราะปัจจุบัน ป.ป.ช.ได้ชี้แจงแล้วว่าไม่มีคดีค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. โดยมีการสั่งฟ้องไปแล้วสองคดี คือ เรื่องการวางหลักประกันการประมูลหนี้ ที่ฟ้องผู้บริหาร ปรส. ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องอยู่ในชั้นการพิจารณาคดีของศาลฎีกา และกรณีกล่าวหานายมนตรี เจนวิทย์การ เลขา ปรส. กับพวก เอื้อประโยชน์บริษัทเกียรตินาคินจนทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องดำเนินคดี
นายศิริโชค กล่าวอีกว่า จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่าคนที่บริหารจนเกิดความเสียหายคือรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ไอเอ็มเอฟ และมีการตั้ง ปรส.เพื่อบริหารแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน โดยมีการออกกฎหมายให้เป็นหน่วยงานอิสระที่รัฐบาลแทรกแซงไม่ได้ อีกทั้งยังต้องปฏิบัติตามแผนของไอเอ็มเอฟตามพันธะสัญญาที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิตไปลงนามด้วย พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ใช่ผู้ทำให้เกิดความเสียหายแต่เข้ามาแก้วิกฤตประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีข้อมูลชัดเจนว่าคนที่ได้ประโยชน์จากการบริหารของ ปรส. คือบริษัทเกียรตินาคินที่มีภรรยานายพงษ์เทพ กาญจนา เป็นเจ้าของ