28 เม.ย.58 ที่รัฐสภา นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงถึงแนวทางการยื่นญัตติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ในวันนี้มีการประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ที่มี นายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน เพื่อให้การแปรญัตติมีน้ำหนักมากขึ้นในความเห็นที่ตรงกันของกรรมาธิการ 2 ชุด และมีการตั้งอนุกรรมาธิการเตรียมการแปรญัตติเพื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 1 ชุด โดยมี นายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธาน จะดำเนินการร่างญัตติที่จะยื่นต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) ภายใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเสร็จก่อนจะให้กรรมาธิการทุกชุดมาร่วมตรวจดูว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ยังไม่สมบูรณ์
สำหรับเบื้องต้นมีการกำหนดประเด็นแปรญัตติอย่างน้อย 10 ประเด็น ประกอบด้วย 1) กลุ่มการเมือง จะมีผลทำให้สถาบันพรรคการเมืองอ่อนแอและจะทำให้เกิดปัญหามากกว่าเกิดประโยชน์ตามที่ กมธ.ยกร่างฯ ให้เหตุผลไว้ 2) การเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดรัฐบาลผสมอ่อนแอ เหมือนร่างกายมีอวัยวะดีหมดแต่หัวใจคือรัฐบาลผสมกลับอ่อนแอแล้วจะอยู่กันอย่างไร เพราะจะทำให้ไม่มีเอกภาพในการบริหารประเทศ 3) ที่มาวุฒิสภา แม้มีการปรับให้มาจากการเลือกตั้ง 77 จังหวัด แต่ก็ต้องผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการก่อน ถือว่ามีความสลับซับซ้อนเป็นพหุสภา หลักการเหมือนดีแต่ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย
4) ที่มานายกรัฐมนตรี กรณีนายกคนนอก เป็นปัญหาเรื่องหลักการระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเลือกตัวแทนมาใช้อำนาจ กลับกำหนดให้ฝ่ายบริหารไม่ต้องมาจาก ส.ส.ได้ เท่ากับประชาชนไม่มีอำนาจบริหารใช่หรือไม่ ส่วนที่อ้างว่าเขียนไว้เพื่อป้องกันวิกฤต ในร่างรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้อยู่แล้วว่ารัฐบาลพ้นจากตำแหน่งเมื่อยุบสภา โดยให้ปลัดกระทรวงเป็นรัฐบาลรักษาการแทน จึงไม่มีวิกฤตตามที่ กมธ.อ้างอีก 5) การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นกลไกตรวจสอบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะจะเกิดระบบฮั้ว และยังมีประเด็นที่จะทำให้เกิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้เลย
6) กลไกขับเคลื่อนการปฏิรูปควรจะเป็นอย่างไร 7) คณะกรรมการประเมินผลแห่งชาติ ที่มีหน้าที่ประเมินผลการดำเนินงานขององค์กรอิสระและพรรคการเมือง แต่การประเมินทำขึ้นเพื่อแค่แจ้งให้ทราบ เท่ากับสูญงบประมาณไปเปล่า ถ้าจะทำต้องให้คุ้มค่าและไม่เห็นประโยชน์ในการประเมินพรรคการเมืองกับกลุ่มการเมืองแต่จะเป็นภาระมากกว่า 8) คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาคัดเลือกข้าราชการระดับปลัดกระทรวง 9) การทำประชามติ ซึ่งหากเห็นว่าจำเป็นก็จะมีการยื่นญัตติต่อ สปช.เพื่อให้พิจารณาลงมติ หากที่ประชุมเห็นด้วยก็จะส่งข้อเสนอดังกล่าวไปยัง ครม.และ คสช.เพราะขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ตัดสินใจ
และ 10) การให้อำนาจคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษได้ เพียงแค่ให้ข้อมูลและสำนึกผิดกับคณะกรรมการ เป็นการให้อำนาจที่อาจขัดต่อหลักการของกฎหมายและจารีตที่เคยปฏิบัติกันมา เพราะการอภัยโทษเป็นเรื่องที่ต้องถูกศาลตัดสินความผิด มีการจองจำก่อน แต่ในร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดประเด็นเหล่านี้
นายสมบัติ ยังกล่าวด้วยว่า มาตรา 181 และ 182 ซึ่งให้นายกฯ ยื่นญัตติไว้วางใจตัวเอง ถ้าไม่ได้รับความไว้วางใจมีอำนาจยุบสภาได้ เป็นการกีดกันไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้จะอ้างว่าเป็นการบล็อคไม่ให้พรรคร่วมรัฐบาลไปร่วมกับฝ่ายค้านก็ไม่สมเหตุผล อีกทั้งเห็นว่ากลไกนี้ไม่เหมาะสม
"มาตรา 182 ยิ่งน่ากลัว เรื่องการเสนอกฎหมายเร่งด่วนออก พ.ร.ก.ได้ แต่ให้อำนาจพิเศษในการเสนอกฎหมายพิเศษในหนึ่งสมัยประชุม อันตรายมากคล้าย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะถ้าฝ่ายค้านไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจภายใน 48 ชั่วโมง ก็ถือว่ากฎหมายผ่าน หรือถ้าผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ถือว่ากฎหมายฉบับนี้ผ่านไปโดยปริยาย แม้จะอ้างว่ามี ส.ว.กลั่นกรอง แต่ประชาชนไม่ไว้วางใจก็ออกมาแล้ว เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อประเทศ จึงต้องถามว่ากรรมาธิการฯ กำหนดไว้เพื่ออะไร เพราะเป็นการส่งเสริมให้รัฐบาลมีอำนาจเผด็จการ เท่ากับรัฐธรรมนูญรองรับเผด็จการรัฐสภาเต็มร้อย" นายสมบัติ กล่าว
ส่วนการแปรญัตติจะมีผลในทางปฏิบัติหรือไม่ เพราะอำนาจการตัดสินใจเป็นของ กมธ.ยกร่างฯ นั้น นายสมบัติ ออกตัวว่า ยังไม่พูดถึงอนาคต เพราะอาจมีการปรับแก้ไขก็ได้ แต่ถ้ายังดำรงร่างรัฐธรรมนูญเช่นนี้จะเป็นระเบิดเวลาสำหรับประเทศตามที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นไว้ ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯ ควรจะรับฟังและนำไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี