บทความในวันนี้ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ สื่อออนไลน์น้องใหม่ The Standard ที่เข้าร่วมฟังเสวนา “20 ปีวิกฤติต้มยำกุ้ง: อดีตสู่อนาคต” จัดโดยบริษัทหลักทรัพย์อินฟินิตี้ จำกัด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2560 และได้ถอดคำเสวนาของคุณกรณ์จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง ร่วมกับ ดร.ประสารไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเอาไว้ในลิงค์ https://thestandard.co/news-business-lessons-from-tomyumkung-crisis/
บทความนี้ผมจะขอนำมาเจาะละเอียดต่อในส่วนของคุณกรณ์เป็นหลักและสามารถติดตามอ่านกันต่อในส่วนของดร.ประสารในลิงค์ได้เลยครับ
2 กรกฎาคม 2560 ท่านผู้อ่านที่อยู่ทันช่วงเหตุการณ์ในวันนั้น เข้าใจเป็นอย่างดีแน่นอนครับว่า วันนี้เมื่อ 20 ปีก่อนคือ วันที่คนไทยไม่อยากให้เกิดขึ้นวันนี้คือวันที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองไทย เจ็บจริง ล้มจริง พังพินาศไปทั้งวงการ
แต่บริบท ณ วันนั้นกับวันนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วิกฤตการณ์ในครั้งนั้นสร้าง “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ที่มีความเข้มแข็ง มีสมรรถภาพ ประสิทธิภาพและศักยภาพสูงมากในการสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้แก่ประเทศของเรา พลิกวิกฤติเป็นโอกาส เรียนรู้จากบทเรียนอันหนักหน่วงของประเทศ ถือเป็นเสาหลักหนึ่งของประเทศได้ทีเดียว
ต้นตอของปัญหาแบงก์ชาติในอดีตปฏิเสธได้ไม่ยากนักว่า มีการแทรกแซงทางการเมืองเข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยไม่มากก็น้อย ทั้งในช่วงก่อนปี 2540ในสมัยรัฐบาลพรรคความหวังใหม่ และช่วงหลังวิกฤติมาสักพักช่วงรัฐบาลไทยรักไทยที่เคยแม้กระทั่งปลดผู้ว่าการแบงก์ชาติ ช่องโหว่นี้ได้ถูกปิดลงไปในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ.แบงก์ชาติเมื่อปี 2550 ที่ฝ่ายการเมืองจะเข้ามาล้วงลูกได้ยากมากยิ่งขึ้น ถ้าสังเกตย้อนไปจะเห็นว่า ช่วงรัฐบาลเพื่อไทยก็มีความพยายามวุ่นวายกับแบงก์ชาติ แต่ก็ไม่สำเร็จ
กลับมาที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยเราครับ คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง ในยุคฟื้นฟูประเทศจากวิกฤติการเงินโลกแฮมเบอร์เกอร์ได้ร่วมเสวนากับ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติจากยุคเดียวกัน ขอเสริมย้อนไปอีกนะครับว่าด้วยหัวเรือใหญ่คุมนโยบายการคลัง รมว.คลังกรณ์ ในสมัยนั้นทำให้ไทยหลุดพ้นจากวิกฤติการเงินโลกได้ไวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากไต้หวันและปีถัดมานิตยสารเครือ Financial Times อย่าง The Banker ก็ยกให้เป็น รมว.คลังโลก จากผลของการดำเนินนโยบายทางการคลัง GDP ปีหลังวิกฤติของเราโต 7.8% ส่งออกกลับมาโต 28% คนไม่ว่างงานเป็นหลักล้านคนตามคาดการณ์ของกระทรวงการคลัง กลับมาสู่ภาวะปกติได้ไวภายในเวลาเพียงปีเดียว
คุณกรณ์ จาติกวณิช กล่าวถึงกรณีปัญหาที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าวิกฤติเศรษฐกิจคือการที่เศรษฐกิจไม่โตและไทยมี “ความเสี่ยงจากความสามารถในการแข่งขันระยะยาว”
“ก่อนฟองสบู่จะแตกเศรษฐกิจมันต้องบูมก่อนทั้งอเมริกา เกาหลีใต้ ขณะที่ประเทศยากจนจะไม่เคยเจอวิกฤติ เพราะเศรษฐกิจไม่เคยโต ผมกังวลว่าเราจะไม่ได้เผชิญกับวิกฤติอีกเลย เพราะเราไม่โต ไม่มีความสามารถทางการแข่งขัน ฉะนั้นไม่มีฟองสบู่แน่นอน”
ปัญหาที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าวิกฤติเศรษฐกิจคือ เศรษฐกิจไม่โตและความเสี่ยงจากความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของไทย จากการถอดคำเสวนาโดย The Standard คุณกรณ์ จาติกวณิช กล่าวเอาไว้2 ประเด็นหลักที่น่าห่วงคือ
1.กองทุนประกันเงินฝากไม่พอรับความเสี่ยง
ประเทศไทยจัดตั้งกองทุนประกันเงินฝากขึ้นหลังวิกฤติปี’40 เพื่อรองรับความเสี่ยงของประชาชนโดยเงินบางส่วนถูกนำไปจ่ายหนี้ แต่ปัจจุบันยังไม่เพียงพอสำหรับการรับมือกับวิกฤติที่แท้จริง ประกอบกับโครงสร้างกองทุนไม่มั่นคงและไม่มั่นใจว่า จะทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนได้จริงหรือไม่
- ผมขออธิบายเพิ่มเติมครับว่า กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก โดยหลักการคือขอเจียดเงินฝากจากแบงก์พาณิชย์ทุกแห่งรวมกันเป็นสัดส่วน % เข้ามาสำรองไว้ในตุ่ม เก็บไว้เมื่อประเทศเจอวิกฤติฉุกเฉินใดก็นำมาใช้ได้ แต่ช่วงรัฐบาลพรรคเพื่อไทยตอนปี 2554 แก้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ลดสัดส่วนของเงินฝากที่ต้องสะสมเข้าตุ่มลงไป แล้วเอาไปจ่ายหนี้ก้อนอื่นแทน จึงสุ่มเสี่ยงที่ตุ่มจะไม่พอคุ้มครองจริงๆ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจริง
2.ไทยเสี่ยงขาดความสามารถทางการแข่งขัน
ซึ่งจะทำให้ไทยไม่สามารถเปลี่ยนมาเป็นระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมได้ คุณกรณ์มองว่า ความเสี่ยงเรื่องของความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวจะส่งผลต่อความสามารถในการสร้างรายได้ของคนไทย หรือภาษาที่รัฐบาลนี้ใช้กันคือ ความเสี่ยงว่าเราจะเปลี่ยนจาก 3.0 เป็น 4.0
การจะยกระดับให้เป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพานวัตกรรมในการขับเคลื่อนยังมีหลายปัจจัย ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงและปฏิรูป ไม่ว่าจะระบบราชการ การศึกษา ตรงนี้เป็นความเสี่ยงที่สูงสุดของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน
3 ประเด็นท้าทายที่ไทยต้องรับมือ
1.ตลาดแรงงาน 2.ระบบราชการ 3.สังคมผู้สูงอายุ
คุณกรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ความท้าทายใหม่จากปี 2540 อาจไม่ใช่เรื่องวิกฤติการเงินหรือการธนาคารอีกต่อไป หากเป็นเรื่องของความไม่เตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ของภาครัฐหรือระบบราชการ ไม่ว่าจะอยู่ในภาคเอกชนหรือรัฐก็ต้องรับมือกับความท้าทายนี้ ภายใต้เงื่อนไขของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง วิธีเตรียมตัวก็ต้องเปลี่ยนตาม
ความท้าทายในขณะนี้และจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้คือบทบาทของมนุษย์ในตลาดแรงงานจะเปลี่ยนไป เช่นอุตสาหกรรมการบริการการลงทุนหรือแม้แต่ทนายความซึ่งเสี่ยงถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ที่ทำได้ดีกว่า และรูปแบบสังคมไทยที่ใกล้จะเป็นสังคมผู้สูงวัย
ระบบการศึกษาของเราต้องเปลี่ยนต้องสอนทักษะที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้ โดยปัจจุบันระบบการศึกษายังไม่ได้ออกแบบไว้เพื่อรองรับทักษะดังกล่าว นอกจากนั้นภายใน 20 ปีข้างหน้า สังคมไทยจะมีวัยทำงานต่อวัยชราเป็นอัตราส่วน 2 : 1 คือผู้สูงอายุจะเยอะมากและวัยทำงานที่ชำระภาษีให้รัฐบาลจะมีจำนวนน้อยลง ขณะที่ผู้สูงอายุที่รัฐบาลต้องดูแลเพิ่มขึ้น ก็จะมีประเด็นเรื่องการรักษาพยาบาลต่อไปจริงๆ ควรจะมีคำตอบแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะรีบทำ
ความท้าทายใหม่ยังหมายถึงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันที่เป็นเรื่องยากเพราะรัฐบาลส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับด้านอุปสงค์สนใจเพียงว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรทั้งที่คำถามที่ควรจะถามคือเรื่องโครงสร้างทำอย่างไรให้เรามีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นคือ เมื่อโจทย์คำถามเพี้ยน คำตอบก็เพี้ยนไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้าง กว่าจะเห็นผล ก็ต้องใช้เวลา ซึ่งไม่ค่อยสอดคล้องกับทุกรัฐบาลที่ห่วงเรื่องคะแนนเสียง ดังนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอุปทานจึงได้ผลมากกว่า อย่างสมัยที่ผมทำงานรัฐบาลก็ค่อนข้างง่าย ตอนนั้นคือขาดอุปสงค์ การแก้ปัญหาคือกระตุ้นอุปสงค์ ซึ่งทางการเมืองเราชอบทำอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดีแม้มันจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่เราก็ต้องทำตอนนี้มนต์ขลังของเศรษฐกิจที่เคยเติบโตเมื่อ 30 ปีก่อนก็เริ่มเสื่อมไป อัตราขยายตัวเศรษฐกิจ 5 ปีที่ผ่านมาเป็นตัวสะท้อนที่ดี ก็เป็นที่มาของแนวคิดของรัฐบาลนี้ที่คิดผลักดันเศรษฐกิจนวัตกรรมให้เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ซึ่งจริงๆก็ทำมา 5-6 ปีแล้ว นโยบายนั้นคือนโยบาย 4.0 แต่จะทำให้มันเป็นจริงได้นั้น ต้องมีปัจจัยอื่นที่ได้รับการพัฒนาซึ่ง ณ ปัจจุบันยังห่างไกลความเป็นจริง ถามว่าทุกวันนี้มีคนไทยกี่คนที่พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจนวัตกรรม ผมว่าคำตอบคือน้อยมาก
มองให้ไกลเร่งปรับการศึกษาและทัศนคติภาครัฐ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
ประเด็นปัจจัยหลักที่ทำให้ไทยยังไม่พร้อมนั่นคือ การศึกษาและทัศนคติของภาครัฐหรือภาคราชการซึ่งต้องยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับภาคเอกชน เพียงแต่ภาครัฐต้องเป็นตัวนำ
ในขณะนี้ยังเห็นแต่สัญญาณที่แสดงว่าไม่พร้อมจะปรับตัวมากกว่า นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้กังวลตัวอย่างที่เห็นชัดคือความคิดที่ภาครัฐมีต่อบริการรถร่วมเดินทาง (ridesharing) อย่างกรณีอูเบอร์และแท็กซี่ ลักษณะชุดความคิดเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเขายังอยู่ในชุดความคิดเดิมมากเกินไป
ณ วันนี้หากมองไปสู่อนาคตเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายกับประเทศเรามากที่สุดผมยังรู้สึกว่าประเทศไทยมีโอกาสเยอะมากคนไทยอาจจะมองไม่เห็นแต่ความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงก็เยอะมากเหมือนกันคือหากเรายังเป็นแบบที่เราเป็นทุกวันนี้เราจะสูญเสียโอกาสที่เรามีทั้งที่โอกาสเราดีจริงๆ
“ถ้าพูดในฐานะของผู้ที่รอจะกลับไปเป็นนักการเมือง ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็คือระบบการเมืองการปกครอง กล่าวคือการมีส่วนร่วมของประชาชน ความโปร่งใสและการถ่วงดุลเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเงื่อนไขและปัจจัยสำคัญต่อโครงสร้างสังคมที่ยืดหยุ่น พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์”
______________________________________
ขอขอบคุณ คุณปิยพร อรุณเกรียงไกร กองบรรณาธิการข่าวธุรกิจสำนักข่าว THE STANDARD มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี