รัฐธรรมนูญปี 2560 เน้นปฏิรูปการเมืองเป็นสำคัญ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 258 ก. ความว่า “เพื่อให้พรรคการเมืองพัฒนาเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน มีกระบวนการให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบอย่างแท้จริงในการดําเนินกิจกรรมทางการเมือง และการคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมจริยธรรม เข้ามาเป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม”
โดยกฎหมายลูก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่บังคับใช้เมื่อ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้บัญญัติให้มีกระบวนการคัดเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่เรียกกันว่า การเลือกตั้งขั้นต้น (Primary Vote) เป็นกระบวนการใหม่สุดๆ คือ สมาชิกพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้งนั้นๆ มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งให้ได้ผู้สมัครสส. ที่ตนเองชอบ เพื่อไปแข่งเลือกตั้งกันจริงๆ กับผู้สมัคร สส.พรรคอื่น ในวันเลือกตั้งใหญ่ คล้ายกับประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการทำกันในระดับเลือกตั้งประธานาธิบดี
ทุกพรรคการเมืองต้องปฏิบัติตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ อาทิ การสำรวจความเปลี่ยนแปลงของจำนวนสมาชิกภายใน 90 วัน,มีทุนประเดิมไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 500 คน ที่จ่ายค่าบำรุงพรรคการเมือง การจัดประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับ กำหนดนโยบาย เลือกกรรมการบริหารพรรค ตลอดจนจัดตั้งสาขาหรือตัวแทนพรรคการเมืองอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา ภายใน 180 วัน เพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งขั้นต้น เพื่อหาตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่แต่ละพรรคการเมืองต้องดำเนินการตามกฎหมาย
เข้าใจได้ว่า คสช. ยังไม่ปลดล็อกคำสั่งที่ 57/2557 เพื่อให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ก็ด้วยเหตุช่วงเวลาที่เหมาะสม ต้องให้ผ่านพ้นพระราชพิธีสำคัญของประเทศออกไปก่อน แต่มาจนถึงช่วงเวลานี้ที่ทุกอย่างคงต้องเดินหน้าต่อไป คสช. เองก็ยังไม่ได้ปลดล็อกเงื่อนไขที่ว่านั้น
ด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายพรรคการเมืองฉบับนี้ ที่ต้องการให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง มาจากความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการกำหนดโดยกลุ่มอิทธิพลหรือนายทุน จึงบัญญัติไว้ในบทหลักของกฎหมายไว้ว่า จะต้องมีสาขาพรรคการเมืองที่มีสมาชิกมากกว่า 500 คนขึ้นไป หรือหากไม่มีสาขาพรรค ก็ให้มีตัวแทนพรรคการเมืองที่มีสมาชิกมากกว่า 100 คนขึ้นไป หากจะดำเนินกระบวนการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตนั้นๆ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญ ที่สมควรให้มีการ “ติดเครื่อง” เพื่อปฏิรูปการเมืองไทยในการเลือกตั้งครั้งแรกที่จะเกิดขึ้นในอีก 1 ปีข้างหน้า
แต่ในอีกทางหนึ่ง หาก คสช. เลือกที่จะปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ท้ายสุดแล้วทุกพรรคการเมืองก็จะไปใช้เงื่อนไขตามบทเฉพาะกาล ที่เปิดทางไว้ว่าหากมีสาขาหรือตัวแทนพรรคการเมืองเพียงแห่งเดียว ก็สามารถส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ทุกเขตในจังหวัดนั้นๆ... ลองนึกภาพกรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรจำนวนมาก แต่เพียงแค่พรรคการเมืองหนึ่ง จัดตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด โดยมีสมาชิกเพียง 100 คน จะส่งผู้สมัครได้ครบทุกเขตในกรุงเทพมหานคร ก็สามารถทำได้แล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ สุดท้ายกระบวนการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ก็จะไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง และการปฏิรูปการเมืองก็จะไม่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ภายในการเลือกตั้งครั้งแรก
แต่ถ้าหาก คสช. ตัดสินใจในตอนนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือการเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปพรรคการเมืองโดยแท้จริง อย่างน้อยก็พรรคประชาธิปัตย์ ที่สามารถดำเนินการปฏิรูประบบพรรคการเมืองให้เป็นไปตามบทหลักของกฎหมายพรรคการเมืองได้ ด้วยความพร้อมที่มีสมาชิกพรรคทั่วประเทศกว่า 2,890,000 คน มีสาขาพรรคถึง 175 สาขาทั่วประเทศ ตลอดจนระบบการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีความใกล้เคียงกับกฎหมายพรรคการเมืองฉบับใหม่ ซึ่งหากมีเวลามากพอ ก็เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความพร้อมที่จะนำร่องการปฏิรูปพรรคการเมืองอย่างเต็ม
รูปแบบได้ ภายในการเลือกตั้งครั้งแรก โดยไม่ต้องอาศัยเงื่อนไขตามบทเฉพาะกาล
ความจำเป็นที่ต้องมีเวลามากพอ เกิดจากสภาพบังคับหลายอย่างที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการยุบหรือควบรวมสาขาพรรคการเมืองที่มีอยู่ เพราะพรรคการเมืองส่วนใหญ่มีสาขา “แบ่งไปตามเขตการปกครอง ไม่ใช่เขตเลือกตั้ง” แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการแบ่งเขต เนื่องจากต้องรอความชัดเจนจาก กกต. ในการแบ่งเขตก่อน ซึ่งเดิมแล้วมีทั้งหมด 375 เขตทั่วประเทศ แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ปรับลดเป็น 350 เขตทั่วประเทศ ที่เป็นเหตุให้ต้องมีความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสาขาพรรคการเมือง แต่ส่วนของกรุงเทพมหานคร ก็มีการเตรียมความพร้อมเบื้องต้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้เพิ่มแขวงในกรุงเทพมหานคร จาก 169 แขวง เป็น 180 แขวง เพื่อความเหมาะสม สะท้อนจำนวนประชาชนที่แท้จริง และเอื้อต่อการแบ่งเขตเลือกตั้งให้สะดวกยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุและผล ถ้ามีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองมีเวลาพอ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เป็นไปตามบทหลักของกฎหมายพรรคการเมืองได้เร็ว ก็จะทำให้ได้สมาชิกและสาขาพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง แต่หากประวิงเวลาไว้ ก็จะเป็นสภาพบังคับให้ทุกพรรคการเมืองต้องทำตามบทเฉพาะกาล ที่ไม่ได้เป็นการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริงในการเลือกตั้งครั้งแรก จึงเป็นเรื่องที่ คสช. ต้องตัดสินใจ แต่ไม่ต้องกังวลว่า พรรคการเมืองจะเคลื่อนไหวจนกระทบความมั่นคงของรัฐ เพราะ คสช. เองก็มีอำนาจตามมาตรา 44 ที่จะดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว
ในมุมมองของพรรคการเมืองนั้น ไม่ว่า คสช. จะตัดสินใจอย่างไร ก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก เพราะสามารถเตรียมความพร้อม ตามเงื่อนไขที่มีการยกเว้นไว้ในบทเฉพาะกาลก็ได้ เพียงแค่ตั้งสาขาหรือตัวแทนพรรคการเมืองเพียงที่เดียว ก็สามารถส่งผู้สมัครได้ทุกเขตในจังหวัดนั้น ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร อีกอย่างคือท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ให้คำมั่นกับสังคมไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรการเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2561
แต่ในมุมมองของคนทำงานก็หวังว่า หาก คสช. รีบตัดสินใจ ก็จะมีเวลามากพอให้เตรียมการปฏิรูปได้เต็มรูปแบบในการเลือกตั้งครั้งแรกไปเลยในคราวเดียว ซึ่งเชื่อว่าศักยภาพของพรรคประชาธิปัตย์สามารถทำได้ ขีดเส้นใต้ห้าร้อยครั้งว่า “ในเงื่อนไขที่มีเวลามากพอ” ตามที่ได้ย้ำไปเบื้องต้น
สุดท้ายนี้ ฝากถึงผู้อ่านหรือผู้มีอำนาจใน คสช. ที่มีโอกาสได้อ่านคอลัมน์นี้ ที่จะมีส่วนตัดสินใจเกี่ยวกับการปลดล็อกพรรคการเมืองว่า “ผมไม่ได้ขอ ผมไม่ได้ต่อรอง ผมพูดแบบคนทำงาน และผมอยากเห็นการปฏิรูปการเมือง และหากเข้าใจระบอบประชาธิปไตย ก็จะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อสารออกไป ถ้าหากจะประวิงเวลาไว้ ก็ไม่ต่างอะไรกับระบบเดิมที่เคยเป็น แต่ถ้าจะเริ่มเลย ก็จะได้ระบบใหม่อย่างที่ต้องการ ตามวัตถุประสงค์ของผู้ร่างกฎหมาย และความต้องการของประชาชน
แต่ถ้าดองไว้แบบนี้ มันคือ “ติดหล่ม” ไม่ใช่ “ติดเครื่อง” การปฏิรูป และเชื่อว่าท่านนายกฯ มีความจริงใจ แต่ก็ขอให้ฟังชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะนี้”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี