นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังจากวันที่ 6 พ.ค. 2567 ที่เขาได้พาสื่อมวลชนและผู้ส่งออก ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ตรวจสอบข้าวจากโครงการจำนำในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งผู้สื่อข่าวถามแบบหยอกล้อว่าหลังทดลองรับประทาน วันที่ 7 พ.ค. 2567 ว่า ท้องเสียหรือไม่ นายภูมิธรรม ตอบทันทีว่า “ไม่เสีย โอ้โห สบายมาก”
นายภูมิธรรม กล่าวว่า เมื่อวานเป็นการตรวจคุณภาพข้าวชิมแล้วไม่มีกลิ่นหืน ไม่มีความรู้สึกว่าจะกินไม่ได้ ความหอมอาจจะลดลงไม่เหมือนข้าวใหม่ แต่ความนุ่นนวลไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น หลังจากตรวจสอบผู้ประมูลก็สามารถไปหาโรงสีหรือปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดี เมื่อวานผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ก็ไปทานด้วย อธิบดีกรมการค้าภายในก็ไปด้วย ทั้งยังเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนร่วมรับประทาน
วิเคราะห์ : หยุดและคิดกันก่อนครับ ขอถามว่า เมื่อจะมีการ “กินข้าวโชว์-ตรวจโกดังโชว์” ใครจะโง่พาไปโกดังที่ข้าวเสื่อมสภาพ เน่า เหม็น กินไม่ได้ล่ะครับ เรื่องตื้นๆ แบบนี้ ใครไม่รู้เท่าทันบ้าง
1) นายภูมิธรรม กล่าวว่า นอกจากนี้ตนยังได้เข้าไปตรวจกองข้าว เพื่อไม่ให้มีการจิตนาการไปว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้“ไม่อยากให้เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง” เรื่องนี้เราพยายามทำให้เรื่องราวต่างๆ ของประเทศจบลงด้วยดี และสามารถนำเงินกลับเข้าประเทศได้ อย่างน้อยถ้าประมูลได้ราคามาตรฐาน 17-18 บาท ก็จะมีรายได้เข้ามาถึง 200-400 ล้านบาท
วิเคราะห์ : ตรวจแค่โกดังเดียว ก็หลอกคนให้เชื่อว่าข้าวที่ “คาโกดัง” อยู่ทั้งหมด คุณภาพเป็นอย่างนี้ทั้งหมดได้เลยหรือครับ? ตรวจโกดังอื่นหรือยังครับ ตรวจให้หมด แล้วสรุปข้อเท็จจริงทั้งหมด แล้วค่อยคุยโวโอ้อวด เอาตัวเลข 200-400 ล้าน มากลบเกลื่อนดีไหมครับ ซื่อๆ หน่อยสุจริตหน่อย ตรงไปตรงมาหน่อย พอจะมีนิสัยแบบนี้อยู่ในตัวในการทำงานบ้างไหมครับ
2) ผู้สื่อข่าวถามว่า การไปดำเนินการส่วนนี้ จะส่งผลต่อการรื้อฟื้นคดีโครงการจำนำข้าวมาพิจารณาใหม่หรือไม่นั้นนายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนั้นไม่ใช่เป้าหมายของตน ตนมีหน้าที่ขนข้าวในคลังออกไปขาย ดีกว่าปล่อยให้เน่าเสียประมาณกว่า 150,000 กระสอบ ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็ถึงขั้นขายไม่ได้ ตอนแรกตนเองก็ไม่มั่นใจจนได้ไปดูและลองหุงมาชิม ก็รู้สึกว่าอร่อยไม่มีปัญหาอะไร
“อยากให้เรื่องนี้ปิดตำนานไปเสีย ส่วนในทางคดีจะเป็นอย่างไรไม่ใช่ภารกิจของผม ใครมีส่วนเกี่ยวข้องก็ว่ากันไป ส่วนโรงเก็บข้าวเมื่อเคลียร์เรียบร้อยก็จะได้เงินประกันคืนซึ่งเขาก็ควรจะรับสิทธินั้นอย่างสมเหตุสมผล” นายภูมิธรรม กล่าว
วิเคราะห์ : อันนี้ตอบได้ดี มีเหตุมีผลในตัวเอง แต่ตัวอย่างที่สุ่มมาโชว์ มันแทนภาพรวมของทุกโกดังที่มีไม่ได้ครับ มักง่ายไป ตีขลุมไป ด่วนสรุปเกินไป เชื่อว่า อีกหลายๆโกดัง คุณภูมิธรรมก็ไม่กล้ากินเหมือนกัน ต้องเลือกแล้วว่าจะใช้โกดังไหนสำหรับตรวจโชว์และกินโชว์
3) นายภูมิธรรม กล่าวว่า สำหรับผู้ส่งออกรายใหญ่ 2 ราย คือ นครหลวง และธนสรร รวมถึงผู้ส่งออกข้าวหลายรายในจังหวัดสุรินทร์ก็ได้มาร่วมตรวจสอบด้วย และตนมองว่าหากนำข้าวไปปรับปรุงอีกหน่อย ก็จะสามารถขายให้ตลาดข้าวเก่าในทวีปแอฟริกาได้
วิเคราะห์ : ข้อนี้ ให้ผู้ส่งออกเขาพูดจะน่าเชื่อถือกว่า
4) นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตนไม่ได้ไปบังคับใครใครทานได้ก็ทาน ใครไม่อยากทานก็ไม่ต้องทาน ใครซื้อก็ซื้อซื้อไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ ตนไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมมากกว่าสิ่งที่ควรทำ และหากในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ หารือกันจนสิ้นสงสัย ตนก็จะเร่งดำเนินการประมูลภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินเดือนมิถุนายน อยากให้มันจบจะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ ไม่อยากให้เกิดดราม่า เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง
“ผมว่ามันคงยุติข้อกล่าวหาตอนแรกไปแล้ว เพราะดูแล้วเม็ดข้าวก็สวยงาม สีของข้าวมีปัญหาจริง ฝุ่นมีปัญหาจริงก็ต้องไปซาวข้าว ซึ่งเอาจริงก็ไม่เกิน 15 ครั้ง เป็นเรื่องปกติของการหุงข้าวมากิน อย่าไปทำให้มันเกิดความน่ากลัว ใครสงสัยผมก็บอกแล้วให้ไปดูด้วยกัน” นายภูมิธรรม กล่าว
วิเคราะห์ : เห็นด้วยครับ ที่จะทำให้เกิดความชัดเจน และนำออกมาประมูลเพื่อตัดวงจรรายจ่าย เพิ่มรายได้ แต่ก่อนอื่น เปิดโกดังอื่นๆ โชว์ให้ครบให้หมดได้ไหมครับ อย่ากลบเกลื่อนทุกโกดัง ด้วยโกดังที่ “ถูกเลือกแล้ว” ว่าโชว์ได้
5) เมื่อถามว่ามีการเชื่อมโยงการเคลียร์ข้าวของรัฐบาลออกจากโกดังในครั้งนี้ กับกระแสข่าวการเดินทางกลับประเทศไทยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า “อันนี้คือเอาจินตนาการมาชี้นำความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเรายังไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คุณยิ่งลักษณ์จะกลับ หรือไม่กลับก็ไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้”
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ตนทำหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ดูแลเรื่องนี้ จึงไม่อยากให้เรื่องนี้ค้างส่วนกระบวนการหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่เกี่ยวข้อง ตนทำในขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ให้ชัดเจนทั้งหมด ที่คิดว่าจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้
“ใครอยากจะฟ้องอะไร จะชนะอะไร ไปว่ากันเอง ผมทำตรงนี้เพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงให้ชัดเจน ให้ศาลรับรองว่าทุกอย่างจะจบ ใครยังข้องใจ ตรงไหนก็ว่ามา ตอนเขาจะขายใคร ใครทานได้ใครทานไม่ได้ก็เชิญผมไปทานร่วมกันได้ ก็ยินดี” นายภูมิธรรม กล่าว
วิเคราะห์ : อันนี้ตอบได้ดี และไม่มีอะไรให้ซักไซ้ต่อสมกับ “ชั่วโมงบิน” ที่สะสมมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะในการรับใช้ตระกูลชินวัตร
6) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวถึงกรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ได้ออกมายืนยันว่าโกดังข้าว 10 ปียังกินได้ว่า
เรื่องนี้คงไม่มีใครขัดข้องถ้าข้าวที่เก็บไว้ในโกดังยังมีคุณภาพดี สามารถบริโภคได้ หุงได้ กินได้ แต่ดูจากข้อเท็จจริงแล้วเจ้าหน้าที่นำข้าวสารไปเตรียมการหุง ก่อนหุงข้าว ซาว 13-15 น้ำ นั้น น้ำซาวข้าวมีมอดลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ย่อมแสดงให้เห็นว่าข้าวไม่ได้คุณภาพอย่างแท้จริง นายภูมิธรรมควรเอาข้าวในโกดังดังกล่าวไปหุงให้รัฐมนตรีได้กินกันทั้งคณะในทุกวันอังคารที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ต้องแนะนำแม่บ้านที่หุงข้าวไม่อยากให้ซาวน้ำหลายครั้งเพราะถ้าซาวน้ำมากกว่า 3 ครั้ง อาจจะทำให้สูญเสียสารอาหารและกลิ่นหอมในข้าวได้ ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและประหยัดค่าใช้จ่ายได้
นายราเมศกล่าวต่อไปว่า กระบวนการตรวจคุณภาพของข้าวว่ามีคุณภาพสามารถบริโภคได้หรือไม่ มีกระบวนการหลักการอยู่ มีหลายหน่วยงานที่สามารถเข้ามาช่วยกันได้เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ว่าบริโภคได้แน่ เพราะถ้าหากข้าวที่ไม่มีคุณภาพหลุดออกไปประชาชน ผู้บริโภคคือผู้รับกรรม การตักข้าวใส่ปากกินโชว์ของรองนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่มาตรฐานการตรวจวัดคุณภาพข้าว และภาพมันฟ้องว่าแม้แต่ตัวรองนายกฯเองก็ไม่มีความกล้าเต็มร้อย เพราะเน้นกับไม่เน้นข้าว มีคนฝากถามช้อนซื้อที่ไหนตักติดแต่กับไม่ค่อยติดข้าว และอีกอย่างที่รองนายกรัฐมนตรีมีความประสงค์จะสื่อสารคือโครงการรับจำนำข้าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหายซึ่งการมากินข้าวโชว์ก็เช่นกันที่ไม่สามารถมาลบล้างเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาในคดีทุจริตรับจำนำข้าวได้แม้แต่บรรทัดเดียว
3) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนราษฎรคนสุรินทร์ สนับสนุนเป็นอย่างยิ่งให้รัฐบาลเร่งระบายข้าวคุณภาพดี ที่มีการจัดเก็บไว้ที่โกดังข้าวใน จ.สุรินทร์ ทั้ง 2 แห่งตั้งแต่รอบการผลิตปี 2556/2557 รวมประมาณ 150,000 กระสอบ และมั่นใจว่าจะเกิดประโยชน์ ช่วยคลี่คลายปัญหาให้ทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
1. เจ้าของคลังสินค้า ผู้ทำหน้าที่จัดเก็บข้าวแทนรัฐถูกแช่แข็งเสียโอกาสมานานจากการนำโกดังไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น และมีค่าใช้จ่ายมาต่อเนื่อง จะได้รับค่าตอบแทนตามสัญญาและกลับไปขับเคลื่อนธุรกิจต่อ
2. รัฐบาล จะได้รายได้จากการประมูลขาย และสามารถนำส่วนต่างจากการหักค่าใช้จ่ายมาเป็นรายได้เพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาลต่อไป
3. ความคลางแคลงใจในสังคม ที่ตั้งคำถามถึงข้าวในโครงการรับจำนำข้าว ก็จะได้รับการคลี่คลาย และเกิดความชัดเจน ว่าข้าวที่มีการจัดเก็บไว้นี้ มีคุณภาพจริงหรือไม่และสามารถจำหน่ายได้ในราคาเท่าไร
นายชนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นนโยบายที่พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ระลึกถึงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นโครงการที่รัฐเข้ามาช่วยรักษาระดับราคาตลาด ด้วยการรับมาช่วยเก็บไว้ แล้วจึงปล่อยระบายออกในช่วงนอกฤดู ซึ่งจะมีปริมาณข้าวออกสู่ตลาดน้อยกว่า ซึ่งจะทำให้มีราคาสูง เป็นกลไกการตลาดที่รัฐบาลในขณะนั้นดำเนินการ เพื่อช่วยให้เกษตรกรที่ไม่มีสายป่านยาว หรือไม่มีสถานที่จัดเก็บไว้รอช่วงที่ข้าวราคาสูง สามารถนำข้าวมาจำนำกับรัฐและได้เงินในราคารับจำนำที่สูง ไปใช้เพื่อลงทุนต่อหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตในครอบครัวได้ทันที
โดยในอดีตนั้น รอบการผลิตปี 2556/2557 มีเกษตรกรใน จ.สุรินทร์ ได้ประโยชน์จากเข้าร่วมโครงการถึง 100,185 รายมีปริมาณข้าว 536,471 ตัน มีเม็ดเงินจากโครงการหมุนเวียนในเศรษฐกิจของจังหวัดราว 9,000 ล้านบาท ทำให้คนใน จ.สุรินทร์ ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่มีการปลูกข้าวหอมมะลิเป็นจังหวัดต้นๆ สามารถลืมตาอ้าปากได้
“เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เกิดการถกเถียงในสังคมว่า ข้าวดีถูกตีเป็นข้าวเน่า แต่ผ่านมาเกือบ 10 ปี ผ่านไป ข้าวยังกินได้ แน่นอนว่าข้าวจะไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนวันแรกแต่วันนี้ข้าวเหล่านี้ยังสามารถสร้างมูลค่า หาเงินเข้าประเทศได้หากข้าวถูกขายไปในตอนนั้น ราคาก็คงจะดีกว่านี้ สร้างมูลค่า สร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่านี้” นายชนินทร์ กล่าว
วิเคราะห์ : เห็นด้วยกับ 3 ข้อแรก แต่ชนินทร์อย่าหลอกคนทั้งประเทศด้วยการใช้โกดังแห่งเดียวยืนยันว่า ข้าวยังดี มีคุณภาพ ชนินทร์อย่าหลอกคนสุรินทร์ว่า เขาคือคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด มีนาในพื้นที่ชลประทานอีกหลายจังหวัดรายกว่าคนสุรินทร์เยอะ มันคือความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม
และชนินทร์ต้องกล้าพูดว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นคิดเป็นมูลค่ามหาศาล หลายเท่าของ “เศษเงิน” ที่ตกอยู่ที่สุรินทร์ เป็นเหตุให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องหนีออกนอกประเทศ ทิ้งนายภูมิ สาระผล นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และข้าราชการ “ติดคุก” อยู่จนทุกวันนี้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี