ในวันนี้ที่พี่ตูน Bodyslam ได้เข้าเส้นชัยที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ยอดบริจาคก็น่าจะเกิน 1,000 ล้านบาทไปแล้วครับ เพื่อเรี่ยไรเงินเป็นทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับ 11 โรงพยาบาลสำคัญ เพื่อดูแลพี่น้องคนไทยทั่วทุกภูมิภาค ด้วยการวิ่งจากชายแดนใต้สุด อำเภอเบตง จังหวัดยะลา จนสุดชายแดนภาคเหนือ อำเภอแม่สาย เป็นระยะทาง 2,191 กิโลเมตร จนหลายๆ คนถึงกับเรียกพี่ตูนว่า “ฟอร์เรสท์ กัมพ์ เมืองไทย”
การวิ่งครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียวครับ หากคิดเป็นค่าเฉลี่ยแล้ว พี่ตูนวิ่งได้ถึงกิโลเมตรละ 460,000 บาท ซึ่งทุกบาททุกสตางค์ ก็ถือเป็นน้ำใจของคนไทยที่ช่วยกันครับ และทีนี้มาดูกันว่า “ทำไม” พี่ตูนต้องออกมาวิ่งหาเงินให้โรงพยาบาล
เริ่มกันที่เรื่องงบประมาณของโรงพยาบาล หลายๆ คนคงไม่ทราบว่าการใช้เงินโรงพยาบาลที่ขาดสภาพคล่องกันหนักมากครับ ตัวอย่างที่เคยมีการบันทึก เช่น โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีติดลบ 300 ล้านบาท โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าติดลบ 260 ล้านบาท โรงพยาบาลสระบุรีติดลบ 196 ล้านบาท และโรงพยาบาลอื่นๆ อีก 40 กว่าโรงพยาบาล ที่งบประมาณต้องติดลบ จนทำให้ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องขอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อนุมัติงบกลาง 5,000 ล้านบาท มาบรรเทาสภาพคล่องเฉพาะหน้าก่อน อย่างน้อยก็พอช่วยได้จนถึงสิ้นปีนี้
นอกจากการสมทบทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลศูนย์ ที่จะเป็นกำลังหลักในการรักษาคนไข้แต่ละภูมิภาคแล้ว การแก้ปัญหาในเชิงบริหารจัดการควบคู่กันไปด้วยก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะจะให้พี่ตูนต้องออกมาวิ่งอีกนานๆ ไป ก็คงจะไม่ไหว อย่างมีเสียงสะท้อนสำคัญจากบุคลากรทางการแพทย์ ว่าปัญหาที่โรงพยาบาลหลักกำลังเผชิญอยู่ คือจำนวนผู้ป่วย
ไม่จำเป็นที่มากเกินไป
ผมเข้าใจความรู้สึกของคนป่วยดีครับ เพราะตัวผมเอง ก็เคยประสบอุบัติเหตุตกม้า นอนอยู่โรงพยาบาลอยู่หลายเดือน เลยเข้าใจว่า เวลาเราป่วย ก็ต้องการรักษาพยาบาลที่ดี จึงต้องไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะป่วยมากหรือป่วยน้อยก็ตาม แต่ปัญหานี้จะช่วยทุเลาลงได้ หากจะปฏิรูประบบสาธารณสุขชุมชน โรงพยาบาลชุมชนให้มีอุปกรณ์ บุคลากร ที่มีความพร้อมมากขึ้นกว่าเดิม และจะส่งผลระยะยาวปรับทัศนคติคนไข้ ให้ทำการรักษาโรงพยาบาลชุมชนมากขึ้น จะได้ลดความแออัดโรงพยาบาลศูนย์ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น
ในแง่งบประมาณการให้บริการผู้ป่วย ข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ปี 2559 พบว่า ประชากรกว่า 48.73 ล้านคน ที่มีสิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ป่วยใช้สิทธิ์รักษาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 79.85 เพิ่มเป็น 87.58 ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ประชาชนเข้าถึงสวัสดิการได้มากขึ้น แต่ในทางงบประมาณนั้น ข้อมูลจากปี 2559 งบค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว คิดเป็น 3,028 บาทต่อคน รวมงบประมาณ 147,772 ล้านบาทต่อปี และยังต้องรวมกับงบประมาณดูแลผู้ติดเชื้อเอดส์ ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยสูงอายุ และค่าตอบแทนบุคลากร รวมๆ แล้วสูงถึง 163,152 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีทั้งประเทศ
อีกเรื่องที่เราต้องเสียงบประมาณด้านสาธารณสุขไปมาก คือราคายาที่สูง การหาทางออกเรื่อง “สิทธิบัตรยา” จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็น เพราะยาแต่ละตัวมีสิทธิบัตรคุ้มครอง ไม่ให้บริษัทอื่นมาก๊อบปี้ยาเค้าขาย แต่พอครบกำหนดเวลา ก็จะกลายเป็นยาสามัญที่ใครผลิตก็ได้ ตัวอย่างเช่น สิทธิบัตรคุ้มครอง ยาแก้อักเสบหรือยาลดกรดบางตัว เดิมราคาต้นแบบเม็ดละ 200 บาท มีอายุถึง 20 ปี แต่เมื่อสิ้นสุดเวลา ก็จะเหลือราคาเพียง 7 บาท
แต่ปัญหาตอนนี้ผู้ผลิตยาส่วนใหญ่จากสหรัฐอเมริกาและยุโรปเอง ก็อยากจะต่ออายุสิทธิบัตรของตัวเองยาวขึ้น เพื่อขายให้ได้ราคาดีต่อไป โดยมักอ้างว่า การดำเนินการขึ้นทะเบียนตำรับยาของ อย.ไทย ล่าช้า ดังนั้นหากเรากำหนดขั้นตอนขึ้นทะเบียนตำรับยาเร็วขึ้น ไม่ให้ต่างชาติมาใช้เป็นข้ออ้างขยายเวลาสิทธิบัตรยา ก็จะทำให้เราได้ราคาที่ถูกลงเร็วขึ้น ลดภาระงบประมาณไปได้อีกมากครับ
จริงอยู่ครับว่า ยอดบริจาคที่สูงกว่าพันล้านบาท ที่พี่ตูนเรี่ยไรจากพี่น้องประชาชนภายในระยะเวลา 55 วัน เป็นปรากฏการณ์ระดมทุนที่สูงมากในรอบหลายปี หากเทียบกับอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างเครื่องฟอกไตเครื่องละ 200,000 บาท ก็ซื้อได้ถึง 5,000 เครื่องเลยครับ แม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาสาธารณสุขทั้งระบบได้ แต่ก็สามารถบรรเทาปัญหาได้หลายอย่างอยู่เหมือนกัน รวมไปถึงมิติด้านอื่น นอกเหนือจากงบประมาณด้านสาธารณสุข
เรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จคือ กระแสการรักษาสุขภาพเป็นที่นิยมมากขึ้น ลองนึกภาพดูครับ แต่ก่อน ร็อกสตาร์ มักติดภาพว่าเป็นคนขี้เหล้าขี้ยา แต่เดี๋ยวนี้ภาพที่หลายๆ คนเห็นคือ ร็อกสตาร์ ที่เป็นตัวอย่างให้กับสังคม เปลี่ยนพฤติกรรมเลียนแบบจากทางที่ไม่ดีไปสู่ทางที่ดีได้ หลายๆ คนที่เห็น เริ่มมีกระแสโพสต์รูปวิ่งในเฟซบุ๊คกัน แล้วขึ้นแฮชแท็กว่า #ก้าวคนละก้าว ก็ถือเป็นความสำเร็จ ที่การรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ที่จะลดผู้ป่วย ลดภาระโรงพยาบาลได้
ตามมาด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจครับ แม้จะยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่ก็มีรายงานว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้ทำให้สินค้าบางตัวที่เป็นผู้สนับสนุนการวิ่ง มียอดขายสูงขึ้น และหลายบริษัทห้างร้านก็ออกมาพากันบริจาคเพื่อช่วยกันสมทบทุนให้โครงการ ไปพร้อมกับภาพลักษณ์ขององค์กร
และที่น่าประทับใจที่สุด คือการวิ่งครั้งนี้ กลายเป็นกระบวนการสร้างความปรองดองที่เห็นผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด ทุกคนคงจะเห็นเหมือนกันว่า เวลาเราดูถ่ายทอดสดการวิ่ง ตั้งแต่พื้นที่สีแดงในจังหวัดชายแดนใต้ การวิ่งผ่านฐานเสียงพรรคการเมืองหลายจังหวัด แต่ประชาชนทุกคนที่มารอสองข้างทางกลับเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีความขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีน้อยให้น้อย มีมากให้มาก ของฝากในแต่ละพื้นที่ อย่างปลาเค็ม พระเครื่อง ก็ยังมีครับ เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของประเทศจริงๆ ขนาดที่รัฐบาลพยายามสร้างความปรองดองมา 3 ปี แล้ว ก็ยังไม่เห็นผลเท่าพี่ตูนใช้เวลาวิ่งเพียง 55 วัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี