“โชเฟอร์ถอยรถตู้รับส่งนักเรียน ทับเด็กหญิงวัยขวบเศษดับอนาถ”

“ไกด์ชะตาขาด! รถบัสนำเที่ยวถอยมาชน เสียชีวิตคาที่”

“ใจสลาย! พ่อถึงกับทรุดลงร่ำไห้ หลังถอย 18 ล้อเหยียบลูกสมองเละ”

ข่าวทำนองนี้แม้ไม่ได้มีมาถี่แทบทุกวัน แต่ก็มีมาให้เห็นกันเป็นระยะๆ กับกรณียานพาหนะบางชนิด เช่น รถกระบะ 4 ล้อที่กระบะท้ายติดตั้งตู้บรรทุกสินค้า รถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป รถตู้ รวมถึงรถบัส ถอยไปชนผู้อื่นจนเสียชีวิต ซึ่งบ่อยครั้งคนทั่วไปก็มักจะโทษ “คนขับ” เอาไว้ก่อนว่า “ประมาท” จนทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว..ยังมี “ข้อจำกัด” บางอย่าง ที่เป็น “ปัจจัยเสี่ยง” ไม่น้อยไปกว่ากัน!!!

“ประสงค์” อาชีพคนขับรถตู้รับส่งนักเรียน กล่าวว่า รถตู้เป็นรถประเภทหนึ่งที่มองทางค่อนข้างยาก ปกติจะมองได้แต่ด้านข้างเท่านั้น ส่วนด้านหลังไม่สามารถมองเห็นได้เพราะมีผู้โดยสารนั่งบังอยู่ ดังนั้นหากมีใครเผลอเดินเข้าไปขณะที่กำลังถอยรถ ก็เสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้มาก โดยเฉพาะเด็กที่มีความระมัดระวังน้อยกว่าผู้ใหญ่

“ช่วงถอยหลัง ปกติก็มองยากเพราะคนจะบังกลางเบาะก็จะมองไม่เห็น คนเดินก็ต้องดูด้วย เพราะบางทีมองกระจกมันก็มองยาก ถ้าคนไปอยู่กลางคันจะมองไม่เห็นแต่ถ้าอยู่ข้างๆ ยังพอเห็นอยู่ ผู้ใหญ่ก็มีผลครับแต่เด็กมีผลกว่าเพราะเด็กไม่ค่อยรู้เรื่อง” ประสงค์ กล่าว

 รถบรรทุก และรถบัส (ยานพาหนะกลุ่มเสี่ยง)

ไม่ต่างกันกับ “นพดล” รายนี้มีอาชีพขับรถประจำทาง (รถเมล์) ที่ระบุว่า การขับรถบัสคนขับต้องมีความชำนาญมาก เพราะปกติแล้วรถบัสทุกชนิดคนขับไม่สามารถมองด้านหลังได้ ต้องใช้การกะระยะกันเองตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นหรือไม่? ก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่าย หากคนขับและคนเดินไม่ประมาท มีความระมัดระวัง ความเสี่ยงก็ย่อมลดลง

“เกิดจากคนขับไม่ระมัดระวัง บางทีก็จากคนเดินบ้างแต่ส่วนมากคนขับก็มองไม่เห็นอยู่แล้วละ ก็ต้องกะหรือประมาณเอาให้แน่ใจก่อน ถ้าคนถนัดจะไม่ยาก ถ้าคนขับประจำทุกวันจะมองไม่ยาก มันก็ต้อง 2 ฝ่าย คนเดินถ้ามองรถก็ไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนคนขับถ้าใช้ความระมัดระวังก็ไม่น่าจะมีปัญหาเหมือนกัน” โชเฟอร์รถเมล์รายนี้ ระบุ

“บุญ” อาชีพคนขับรถบรรทุก ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มองว่ายานพาหนะของตนนั้นมีข้อจำกัด เพราะด้านหลังเป็นตู้บรรทุกสินค้าทำให้ไม่สามารถมองด้านหลังรถได้ ดังนั้นแม้จะใช้ความระมัดระวังแล้วก็ยังเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะจากคนที่เดินข้ามถนนแบบไม่มองรอบๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน

“บางทีเขาเดินมาก็มองไม่เห็นเพราะพ่วงมันยาวเราก็จะมองกระจกข้างสองฝั่ง มันก็มองยาก พยายามถอยให้ช้าที่สุดและก็เปิดไฟฝ่าหมากไว้ คนที่เดินมาแล้วข้ามเลยไม่ระมัดระวัง” สิงห์รถบรรทุกรายนี้ ให้ข้อมูล

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) อธิบายถึงปัญหาข้างต้นว่า เป็นเพราะ “จุดบอด” (Blind Spot) ของมนุษย์ซึ่งปกติแล้วสายตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้รอบทิศ ทำให้ต้องพึ่ง “กระจกสะท้อน” สำหรับมองด้านข้างและด้านหลัง แต่กับรถบางชนิด เช่น รถกระบะยกสูง รถตู้ รถบรรทุกที่ท้ายรถเป็นตู้สินค้า รวมถึงรถบัส รถเหล่านี้ไม่สามารถติดตั้งกระจกเพื่อมองด้านหลังได้

“หมอธนะพงศ์” ให้คำแนะนำเบื้องต้นกับบรรดาโชเฟอร์ทั้งหลายว่า 1.หมั่นมองบ่อยๆ พยายามมองด้านข้างให้ถี่ขึ้น เพราะคนขับต้องตระหนักว่ารถที่ตนใช้นั้นมีจุดอับมากกว่ายานพาหนะอื่นๆ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และ 2.ปรับกระจกมองข้างให้ดูได้ถนัด เนื่องจากรถเหล่านี้มักเป็นรถขององค์กรต่างๆ ทำให้มีผู้ใช้รถสลับกันหลายคน ดังนั้นก่อนสตาร์ทรถ ควรปรับกระจกมองข้างให้เข้ากับระดับสายตาของตนเสียก่อนทุกครั้ง

“คนขับเองต้องตระหนักและต้องหมั่นมองข้างและมองหลังบ่อยๆ โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องถอยหรือว่ากลับรถ เพราะเขาต้องรู้ว่ารถเขาจะมีตำแหน่งอับสายตาอยู่เยอะ และต้องปรับกระจกข้างให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่นั่งเขา คือบางทีไปขับรถที่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่ละเลยที่จะปรับกระจกมองข้างให้เหมาะสมกับตัวเอง” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว

แต่หากจะแก้ปัญหาระยะยาว นักวิชาการด้านความปลอดภัยบนท้องถนนรายนี้ เสนอแนะว่า รถที่เป็นกลุ่มเสี่ยงดังที่กล่าวมาข้างต้น ควรติดตั้ง “เซ็นเซอร์” ซึ่งจะส่งเสียงเตือนหากคนขับถอยรถจนชิดวัตถุอื่นๆ ในระยะอันตราย และ “กล้องมองหลัง” ทำหน้าที่แทนกระจกมองหลังของรถเก๋งหรือรถกระบะทั่วไป ซึ่งปัจจุบันรถรุ่นใหม่ๆ โรงงานก็มักจะติดอุปกรณ์เหล่านี้มาให้อยู่แล้ว ส่วนรถเก่า หากเจ้าของกิจการลงทุนเสียหน่อย ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด “ภาครัฐ” ต้องออก “กฎหมาย” มาบังคับ เพราะจะทำให้เกิด “มาตรฐานใหม่” ในสังคม

สอดคล้องกับโชเฟอร์ทั้ง 3 ราย ที่ยืนยันตรงกันว่า “จำเป็นมาก” หากต้องการ “แก้จุดบอด” ที่ว่านี้!!!

“เดี๋ยวนี้ราคากล้องหลัง มันอยู่แค่หลักพัน ค่อนข้างถูกแต่สิ่งที่เราพบคือไม่มีการลงทุนเพราะมันไม่ได้ระบุเป็นกฎหมาย อันนี้ถ้าจะไปลงทุนต้องเป็นผู้ประกอบการ ฉะนั้นผมคิดว่ากรณีอย่างนี้กระทำได้ คือกำหนดเป็นเงื่อนไขว่าเวลาผู้ประกอบการที่จะมาจดทะเบียนประกอบการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นรถสาธารณะหรือรถบรรทุกต้องมีอุปกรณ์พื้นฐานอะไรบ้าง ผมเคยคุยกับวิศวกรเขาบอกว่าพวกกล้องติดได้หมดไม่ว่าจะรถแอร์หรือรถร้อน

ถ้าเป็นเรื่องของรถบัส ตอนนี้อย่างกรณีของอังกฤษ เนื่องจากรถบัสใหญ่ของอังกฤษมันเป็นรถสองชั้นวิ่งในเมืองรับส่งคน กฎหมายเมืองอังกฤษก็คือรถบัสขนาดใหญ่ที่วิ่งในเขตเมือง รถบัสทุกคันต้องติดเซ็นเซอร์เพราะเขามีกรณีที่ไปชนจักรยานของคนตามถนนบ่อย เพราะฉะนั้นเขาออกเป็นกฎหมายเลยว่าให้ติดเซ็นเซอร์ พอจะเข้าใกล้อะไรด้านหลังจะมีสัญญาณเตือนให้คนขับต้องระวัง” ผู้จัดการ ศวปถ. ฝากทิ้งท้าย

อรสา อ่ำบัว

SCOOP@NAEWNA.COM