“สูงวัยไปอย่างมีความสุข” ความปรารถนาสูงสุดสำหรับ “คนวัยเกษียณ” ด้านหนึ่งคือเรื่องของ “สุขภาพ” ที่ยังแข็งแรงไม่มีโรคภัยรุมเร้า กับอีกด้านคือ “มีรายได้พอยังชีพ” พอดูแลตนเองได้ไม่เป็นภาระลูกหลานมากนัก ซึ่งเรื่องของรายได้นั้นถือว่าสำคัญมากในปัจจุบัน ที่อะไรๆ ก็ต้อง “ใช้เงินซื้อหามา” ไม่เว้นแม้แต่ “ปัจจัย 4” ฉะนั้นการที่ “เงินในมือหายไป” จึงถือเป็นข้อกังวลใหญ่ เพราะกระทบต่อ “ความมั่นคง” ในช่วงชีวิตที่เหลือ
เฉกเช่นเหตุการณ์ไม่นานมานี้ กรณีที่ นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อ 13 พ.ค. 2559 ว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิด “จัดระเบียบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ”โดยในอนาคตอาจจะ “งดจ่าย” ให้กับผู้สูงอายุที่ “รายได้มากกว่า 9,000 บาทต่อเดือน หรือมีทรัพย์สินมากกว่า 3 ล้านบาท” เพราะต้องการให้การใช้จ่ายเงินส่วนนี้เป็นไปถึงมือเฉพาะ “คนที่ควรได้” เท่านั้น และคาดว่ารัฐจะประหยัดงบประมาณไปได้ราว 1 หมื่นล้านบาทต่อปี จากที่ต้องจ่าย 6-7 หมื่นล้านบาทตลอดทุกปีที่ผ่านมา
ทว่าเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ “ไม่เห็นด้วย” ก็ตามมาทันที 17 พ.ค. 2559 มีการรวมตัวของเครือข่ายประชาชน เรียกร้องให้กระทรวงการคลังยกเลิกแนวคิดดังกล่าว เพราะจะทำให้ประชาชนโดยเฉพาะ “ผู้มีรายได้น้อย” เดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจากไม่เชื่อว่ากระบวนการ “ค้นหาคนจน” จะทำได้อย่าง “โปร่งใส” ไร้ข้อครหา
นายสมชาย กระจ่างแสง ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งประเทศไทยยังใช้ระบบ “สังคมสงเคราะห์” ซึ่งพบว่าเกิดความ “แตกแยก” ของคนในชุมชน เพราะต่างคนต่างก็มองว่าคนนี้สมควรได้ คนนั้นไม่สมควรได้ จนทะเลาะเบาะแว้งกัน
“การไปหาคนจนมันคือการถอยหลังเข้าคลอง ครั้งหนึ่งเราเคยทำแบบนี้ ใครเจ็บป่วยไม่มีเงินและไม่อยากตาย ก็ให้ไปขอสังคมสงเคราะห์ แล้วเราก็ต้องไปหาว่าใครบ้างที่จะให้บัตรสงเคราะห์แก่เขา เอาไปฝากกับผู้นำชุมชน แล้วก็จะเกิดเรื่องแบบฉันจนจริงแกไม่จน ชุมชนก็จะมีปัญหากัน นอกจากนี้ ยังใช้งบประมาณค่อนข้างสูงด้วย” ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าว
ขณะที่ในมุมของนักวิชาการ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้สัมภาษณ์กับ “สกู๊ปแนวหน้า” ระบุว่า เข้าใจข้อกังวลของกระทรวงการคลัง เพราะ 1.จำนวนผู้สูงอายุในสังคมไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ 2.อัตราเงินเฟ้อมีการขยายตัว ดังนั้น ในอนาคตการใช้จ่ายงบประมาณเบี้ยยังชีพนี้จึงมีแต่จะมากขึ้น หาก “เศรษฐกิจดี” ก็ดีไป แต่ถ้า “เศรษฐกิจแย่” เมื่อนั้นรัฐต้องแบกรับภาระหนักมาก
นักวิชาการจาก TDRI รายนี้ กล่าวว่า หากมองในเชิงหลักการ แนวคิดดังกล่าวถือว่าดีเพราะเป็นการ “ช่วยเหลืออย่างตรงจุด” กับคนที่ต้องช่วยจริงๆ แต่ในทางปฏิบัติก็สุ่มเสี่ยงต่อการ “เลือกปฏิบัติ” คนที่อยู่ใกล้ชิดผู้นำชุมชนได้รับเงินนี้ทั้งที่ฐานะดีดูแลตนเองได้ แต่คนที่เดือดร้อนลำบากกลับไม่ได้เพราะไม่ได้สนิทสนมด้วย
“สมัยก่อนมันเป็นระบบโควตา หมู่บ้านหนึ่งก็ได้ 6 คน 8 คน หรือบางหมู่บ้านอาจจะได้เยอะหน่อย แต่ก็ไม่ได้ได้ทุกคน มันก็จะมีภาพอย่างที่ว่า คือเลือกที่รักมักที่ชัง ผมเคยเจอกับตัวเองนะสมัยลงพื้นที่ ไปเจอคนแก่เท้าบวมเป็นเบาหวาน ไม่มีลูกหลานดูแล แต่ก็ไม่ได้เงินนี้ ส่วนคนที่ได้คือคนที่ไม่ลำบากเท่านี้” ดร.สมชัย ระบุ
แนวคิดการอุดหนุนช่วยเหลือผู้สูงอายุควรเป็นเช่นไร?..ประเด็นนี้ ดร.สมชัย แบ่งแนวทางเป็น 2 ระยะ โดย ระยะสั้น ให้คิดแบบ “กลับหัว” จากเดิมที่คิดแต่จะหาคนจนเพื่อให้การช่วยเหลือ ก็ให้มองกลับกันด้วยการ “หาคนรวย” หรือคนที่พึ่งพาตนเองได้แทน เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายให้คนกลุ่มนี้ อันเป็นการลดภาระงบประมาณได้เช่นกัน
“แทนที่จะไปตามหาคนจนให้เจอ ไปตามหาคนรวยให้เจอดีกว่า เพราะมีน้อยกว่า อาจจะหาไม่ง่ายเสียทีเดียวแต่ก็หาง่ายกว่า เช่น ไปดูฐานข้อมูลของผู้เสียภาษี คนที่อยู่ในประกันสังคม คนที่เสียภาษี ข้าราชการ อะไรเหล่านี้ คือคนพวกนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ลำบากไม่จนแล้ว แล้วยังได้สิทธิ์อื่นอยู่แล้วด้วย ตัดพวกนี้ออกไปก่อนแล้วให้พวกที่เหลือ คือพวกนี้รวยแน่ๆ ดังนั้น งบประมาณก็ประหยัดได้ 20-30 เปอร์เซ็นต์แล้ว” นักวิชาการจาก TDRI รายนี้ กล่าว
ขณะที่ ระยะยาว ดร.สมชัยมองว่า ต้องมีการจัดทำ “ฐานข้อมูลส่วนบุคคลเชื่อมต่อกัน” ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องมีกฎหมายรองรับ เช่น ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ผู้ใดที่ไปขอรับเงินอุดหนุนคนยากจนจากรัฐ จะถูกตรวจสอบประวัติการใช้จ่าย อาทิ มีการจับจ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยไม่สมฐานะในเวลาเมื่อเร็วๆ นี้หรือไม่? เป็นต้น
ทั้งนี้จะคล้ายกับการตรวจสอบของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อให้ความช่วยเหลือคนยากจน โดยมีเกณฑ์ชี้วัด เช่น มีรถยนต์เป็นชื่อตนเองหรือไม่? หรือมีเงินเหลือพอปล่อยให้คนอื่นกู้ยืมหรือไม่? แบบนี้ก็จะไม่เข้าข่ายคนจน อย่างไรก็ตาม ดังนั้น หากจะมีกฎหมายออกมา ต้องระบุให้ชัดว่า 1.หน่วยงานใดบ้างที่เข้าถึงข้อมูลได้และเข้าถึงได้เพียงใด? กับ 2.การใช้ข้อมูลต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น
“เกณฑ์ของ พม. ที่ไปดูต่อ เช่น เขามีรถไหม? รถเป็นชื่อเขาไหม? คือต้องเป็นรถใหญ่หน่อยอย่างรถเก๋ง รถตู้ รถกระบะ อะไรพวกนี้ อย่างจักรยานไม่นับ ถ้าเขาเป็นเจ้าของรถก็คือไม่ได้สิทธิ์ทันที หรือมีบ้านหลังใหญ่โต เป็นเจ้าแม่เงินกู้ คือถ้ามีเงินเหลือให้เขากู้ก็คงไม่จนแน่นอน ก็เอาชุมชนมาช่วยด้วย เอาสิ่งที่ตามองเห็นได้ หรือดูสภาพบ้านเรือนว่าเป็นยังไง? ถ้าดูแล้วแย่มากก็เข้าข่าย คือมันก็มีเรื่องที่พอจะดูได้ หรือเรื่องของบิ๊กเดต้า (Big Data-ฐานข้อมูลบุคคลขนาดใหญ่) ผมเคยไปดูงานที่แอฟริกาใต้ เขาเอาฐานข้อมูลหลายๆ อย่างมาพบกัน
ฐานข้อมูลที่น่าสนใจมาก เช่น การจับจ่ายใช้สอย เขาไปขอข้อมูลจากดีพาร์ทเมนท์สโตร์ (Department Store-ห้างสรรพสินค้า) พอมีคนมาขอรับความช่วยเหลือ ปรากฏพอไปดูข้อมูล พบว่าเพิ่งไปซื้อตู้เย็นใหญ่ๆ ทีวีจอใหญ่ๆ อะไรแบบนี้ ถ้ารู้ตรงนี้ก็รู้เลยว่าคนนี้ไม่จนแน่ๆ ผมอยากให้ข้อมูลพวกนี้บางหน่วยงานเข้าถึงได้ แต่ไม่ใช่ทุกหน่วยงาน รวมถึงต้องมีกฎหมายชัดเจนว่าข้อมูลนี้ต้องใช้เพื่อประโยชน์ในการรับสวัสดิการของประชาชนเท่านั้น เพราะถึงเราจะเสียความเป็นส่วนตัวไป แต่สิ่งที่เสียไปมันเพื่อประโยชน์สาธารณะจริงๆ” ดร.สมชัย กล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ที่เปิดเผยเมื่อเดือน มี.ค. 2557 ระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรสูงวัย หรืออายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 9.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14.5 จากประชากรไทยทั้งประเทศจำนวน 64.5 ล้านคน และคาดว่าในปี 2568 ไทยจะมีประชากรสูงวัยเพิ่มเป็น 14.4 ล้านคน
ขณะที่ข้อมูลเด็กเกิดใหม่ซึ่งเปิดเผยเมื่อเดือน มี.ค. 2558 พบว่ามีเด็กเกิดใหม่ลดลงจากปีละ 8 แสนคน เหลือปีละ 6 แสนคน จึงกระทบต่อโครงสร้างแรงงานของประเทศ ซึ่งรวมถึงรายได้งบประมาณของรัฐผ่านการจัดเก็บภาษีด้วย อย่างไรก็ตาม การพิจารณาแนวทางสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้ผู้สูงอายุโดยเฉพาะที่มีรายได้น้อยใช้ชีวิตที่เหลือในบั้นปลายอย่างยากลำบาก
เพราะคนวัยนี้ “สังขารไม่อำนวย” ที่จะไป “ทำงานหนัก” เลี้ยงชีพเช่นวัยหนุ่มสาวได้อีก!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี