ซ้าย : รศ.ดร.นงเยาว์ เนาวรัตน์, ขวา : ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด
ต้องบอกว่า “เป็นเรื่อง” ขึ้นมาทันที เมื่อ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เปิดเผยผ่านสื่อมวลชนเมื่อ 30 มี.ค.2559 ว่ารัฐบาลมีแนวคิดเปลี่ยนโครงสร้างการอุดหนุนค่าเล่าเรียน จากเดิมคือประถมศึกษาปีที่ 1-มัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้เป็นตั้งแต่อนุบาล 1-มัธยมศึกษาปีที่ 3 แทน ด้วยเหตุผลว่า “เด็กปฐมวัย” หรือชั้นอนุบาล เป็นช่วงวัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาศักยภาพ
หลังแนวคิดนี้ปรากฏเป็นข่าว...เสียงสะท้อนทั้งจากนักเรียน ผู้ปกครอง รวมถึงนักวิชาการที่ทำงานด้านการศึกษาของเยาวชน กล่าวตรงกันว่า “ไม่เห็นด้วย” เนื่องจากจะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างครอบครัว “ยากจนกับร่ำรวย” สวนทางกับนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลและ คสช.ที่พยายามป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชน...
“ออกกลางคัน” จากระบบโรงเรียน!!!
“ปี 2555 เด็กที่เข้าสู่มัธยมปลาย หรือ ม.4 ของเรา คือ ร้อยละ 76 เท่ากับฟิลิปปินส์ แต่ถ้าเทียบกับเกาหลีหรือญี่ปุ่นนี่เรายังต่ำกว่าเยอะ ตรงนี้ชี้ว่าถ้าต่อไปเราตัดโอกาสเรียนฟรีลงเหลือแค่ ม.3 ถามว่าตัวเลขที่เราพยายามปั้นขึ้นมาถึงร้อยละ 76 นี่จะถอยไหม? แต่คิดว่าคงจะถอยแน่นอน”...
รศ.ดร.นงเยาว์ เนาวรัตน์ หัวหน้าภาควิชาพื้นฐานและการพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในเวทีเสวนา “อนาคตการศึกษาไทยในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คสช.”8 พ.ค. 2559 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ถึงข้อกังวลหาก “ยกเลิก” นโยบายอุดหนุนทางการศึกษา หรือ “เรียนฟรี” ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
อาจารย์นงเยาว์ เล่าย้อนไปเมื่อปี 2537 มีเด็กไทยที่เข้าเรียนต่อในระดับ ม.ปลาย เพียงร้อยละ 37 เท่านั้น ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานหากประเทศไทยจะยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น จึงมีความพยายามเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ทั้งขยายการศึกษาภาคบังคับจาก 6 ปี เป็น 9 ปี และ 12 ปีตามลำดับ รวมถึงตั้งกองทุนทั้งให้เปล่าและให้กู้ยืม ส่งผลให้จำนวนเด็กไทยที่เข้าเรียนในระดับ ม.ปลาย เพิ่มสูงขึ้นกว่า “เท่าตัว” ภายในเวลาเพียง 2 ทศวรรษ
ทว่าหาก “ตัดสิทธิ์” ดังกล่าวออกไป อาจมีผู้ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัจจุบันมีครอบครัวที่เข้าเกณฑ์ยากจนราว 2 ล้านครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีอีกราว 5-7 ล้านครัวเรือนที่จัดเป็นผู้มีฐานะไม่ค่อยดีนัก เป็น “กลุ่มเสี่ยง” ที่เด็กในครอบครัวกลุ่มนี้จะหลุดออกจากระบบการศึกษาในระดับ ม.ปลาย จากภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ปัญหาที่จะตามมาต่อเนื่อง คือ จำนวนผู้เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาลดลง
อาจารย์นงเยาว์กล่าวอีกว่า ในปี 2519 มีคนไทยที่ได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยเพียงร้อยละ 3.3 เท่านั้น แต่ในปี 2542 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 37 และปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 51 ตามลำดับ เนื่องจากมีผู้เรียนจบ ม.ปลายมากขึ้น อีกทั้งเข้าถึงกองทุนต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเป็นการ...
“ยกระดับชีวิตคน” อย่างก้าวกระโดด!!!
“สหรัฐอเมริกาเขาบอกว่า เด็กของเขาต้องจบอุดมศึกษา เพราะเขาวิเคราะห์แล้วว่าเมื่อจบอุดมศึกษาตั้งแต่อายุ 22 ไปจนถึงอายุ 60 รายได้และคุณภาพชีวิตมันดีดขึ้นไปเลย ต่างจากคนจบ ป.4 อายุ 12 ถึง 60 ก็ยังอยู่ไปแบบนั้น คุณภาพชีวิตและโอกาสมันต่างกันมาก รัฐที่เข้าใจจะต้องให้เด็กไปถึงอุดมศึกษา อุดมศึกษาตอนนี้เราอยู่ที่ 51 เปอร์เซ็นต์ แล้วในนี้อยู่ในมหาวิทยาลัยนอกระบบ อย่างรามคำแหงและสุโขทัยฯกันเกือบครึ่ง อันนี้เราก็คิดว่าเด็กระดับอุดมศึกษามันจะลดลงแน่นอน” อาจารย์นงเยาว์ แสดงความกังวล
อาจารย์นงเยาว์ ยังกล่าวถึงแนวคิดของรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มผู้เรียน “สายอาชีพ” หรืออาชีวศึกษาให้มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างแรงงาน ว่า แนวคิดตัดสิทธิ์ ม.ปลายเรียนฟรี “ไม่ตอบโจทย์” เพราะสายอาชีพหรือ ปวช. 3 ปี กับสายสามัญหรือ ม.ปลาย 3 ปี จัดอยู่ในระดับเดียวกัน ที่ผ่านมาทั้ง 2 สาย ได้สิทธิ์เรียนฟรีและเงินกู้ต่างๆ เท่าเทียมกัน
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำ นอกจากจะไม่ตัดสิทธิ์เรียนฟรีแล้วยังต้องปรับปรุงอีกหลายด้าน เช่น 1.อุดหนุนค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะสายอาชีพนั้นค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์การเรียนค่อนข้างสูงกว่าสายสามัญอยู่มากพอสมควร 2.ขยายสถาบันการศึกษาสายอาชีพให้มากขึ้น เนื่องจากในต่างจังหวัดสถาบันอาชีวะมักอยู่ในเขตตัวจังหวัด ตรงข้ามกับโรงเรียนสายสามัญที่เข้าถึงทุกอำเภอ ผู้ปกครองจึงนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในสายสามัญมากกว่า และ 3.ปรับเกณฑ์การสอบเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษา โดยให้นำ “ทักษะวิชาชีพ” มาพิจารณาควบคู่กับวิชาการ เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างสายอาชีพกับสายสามัญ
“ที่เด็กเรียนอาชีวะกันน้อยเพราะต้นทุนมันสูงกว่าสายสามัญ เรื่องอุปกรณ์การเรียนส่วนใหญ่พ่อแม่ก็ต้องเข้ามาเสริม ครอบครัวยากจนไม่ใช่ว่าจะเรียนอาชีวะได้ แล้วโรงเรียนอาชีวะก็น้อย ทั้งของเอกชนและรัฐมีแค่ 900 แห่งทั่วประเทศเอง ในขณะที่สายสามัญมีตั้ง 3,000 พ่อแม่ก็ต้องส่งลูกไปไกล
อย่างที่เชียงใหม่ คุณอยู่อำเภอแม่แจ่ม ไม่มีอาชีวะ ถ้าจะเรียนคุณต้องมาที่ตัวจังหวัด นี่คือเรื่องที่รัฐบาลต้องคิด
อีกเรื่องคือเด็กอาชีวะจะเข้ามหาวิทยาลัยนี่ยากมาก เพราะเวลาสอบเข้าเราสอบตามสายสามัญ แต่พวกที่เรียนสายอาชีพเราไม่ได้นำเรื่องทักษะมาสอบด้วยมากมาย เท่ากับเราไปกดเด็กเอาไว้ในระดับก่อนอุดมศึกษา ซึ่งมันก็ไม่เป็นธรรม เด็กเขาคิดนะไม่ใช่ไม่คิด” อาจารย์นงเยาว์ ฝากทิ้งท้าย
ด้าน ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ในทางเศรษฐศาสตร์ นั้นมีข้อสรุปแล้วว่า “การศึกษาเป็นปัจจัยชี้วัดที่สำคัญที่สุด ในการส่งต่อหรือยุติความเหลื่อมล้ำจากรุ่นสู่รุ่น” เห็นได้จากครอบครัวที่ร่ำรวย ส่วนมากก็จะขยายความร่ำรวยต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับครอบครัวที่ยากจนก็มักจะจนอยู่อย่างนั้น น้อยรายนักที่จะขยับขึ้นมาร่ำรวยได้
“การศึกษาเป็นปัจจัยที่ทรงพลังที่สุดในการส่งผ่านความเหลื่อมล้ำจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือถ้าพ่อรวยลูกก็รวยด้วย แต่ถ้าพ่อจนลูกก็จนต่อไป การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกเขาสรุปมาแบบนั้น เขาเรียกว่ามันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น ทำให้ความเหลื่อมล้ำที่ดำรงอยู่ในรุ่นเรา ดำรงอยู่ต่อไปในรุ่นหน้า เพราะมีระบบการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกัน” อาจารย์เดชรัตน์ ระบุ
ในเวลาต่อมา 10 พ.ค.2559 พล.ต.สรรเสริญแก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังคงสิทธิทางการศึกษาไว้ที่อย่างน้อย 12 ปีเช่นเดิมเหมือนฉบับก่อนๆ และไม่ได้ตัดสิทธิหากรัฐบาลในอนาคตจะเพิ่มให้มากกว่านี้ เพียงแต่รัฐบาลนี้เน้นไปที่ชั้นอนุบาลเพราะมีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์มาก
ขณะที่ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นเมื่อ 15 พ.ค. 2559 สนับสนุนให้รัฐบาลออกกฎหมายรับรองการเรียนฟรี 15 ปี จากอนุบาลถึงมัธยมปลาย ซึ่งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยวางรากฐานไว้แล้วก่อนหน้านี้ และร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการออกกฎหมายรับรองดังกล่าว
ท้ายที่สุดเด็กไทยจะได้ “เรียนฟรีกี่ปี” และ “ชั้นไหนบ้าง” คงต้องติดตามกันต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี