“เส้นทางชีวิต” ไม่มีใครกำหนดให้ใครได้คนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวล้วน “ขีดเขียน” ทางเดินไปสู่ “เป้าหมาย”เหล่านั้นด้วยตัวของตัวเอง เช่นเดียวกับเส้นทางบนถนนสายธุรกิจของ...

“ดร.สิทธิชัย ปริญญานุสรณ์”!!!

อดีตลูกชายเถ้าแก่ร้านขายยาแผนไทย แผนปัจจุบัน แผนจีน ย่านราชปรารภ ที่เส้นทางชีวิต “พลิกผัน” จากนักศึกษา “จิตวิทยาคลินิก” ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงในตำแหน่ง “กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีทีไอ เอแพค จำกัด (CTI APAC Co.,Ltd.)

แม้ในแวดวงธุรกิจของเมืองไทย บริษัทแห่งนี้และตัวเขาอาจดูไม่ใหญ่โตเทียบชั้น “เจ้าสัว” ตระกูลใหญ่ แต่ถ้าพูดถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ “ตู้เอทีเอ็ม” โดยเฉพาะตู้ครอบกล่องไฟแล้ว ในภูมิภาคอินโดจีนโดยเฉพาะใน “ลาว-เมียนมา”...

“ซีทีเอ” อาจไม่ใช่เบอร์ 1 แต่ไม่เป็นสองรองใคร...

“สิทธิชัย” เล่าย้อนถึงเส้นทางชีวิตที่พลิกผันของเขากับ “มุมมองนักบริหาร :แนวหน้า” ว่า ขณะเรียนอยู่ชั้น ม.5 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เขาสอบเทียบได้ และเอนทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในสาขาวิชาเกี่ยวกับ “จิตวิทยาคลินิก” และแม้จะได้ทุนให้ศึกษาต่อสาขาวิชานี้จนถึงระดับ “ปริญญาเอก” แต่ช่วงนั้นในเมืองไทยอาชีพนี้ “ไม่รุ่ง” เขาจึงเลือกที่จะเข้าทำงานด้าน “เซล” ในบริษัทต่างชาติ แทนที่จะเป็น“นักจิตวิทยา” อยู่ในโรงพยาบาล

“สิทธิชัย” พลิกชีวิตของตนเองอีกครั้ง เมื่อเล็งเห็นว่าเรื่องของเทคโนโลยี“คอมพิวเตอร์” กำลังมาแรง จึงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท Computer EngineeringManagement ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ทั้งๆ ที่ “ดีกรี” ปริญญาตรีไม่ได้คาบเกี่ยวกับสาขาที่เรียนเลย แต่เขากลับใช้เวลาเพียง 1 ปี 6 เดือน ก็สำเร็จเป็น “มหาบัณฑิต” และด้วยคะแนนวิชาด้าน “การเงิน” เป็นเลิศ จึงได้รับคำเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนด้านการเงินให้กับนักศึกษาในเอแบคระยะหนึ่ง

หลังจากนั้นเขากลายเป็น “มนุษย์ทองคำ” เข้าทำงานด้าน “วาณิชธนกิจ”ในบริษัทไฟแนนซ์แห่งหนึ่ง ก่อนที่ปี 2540มีการ “ลอยตัวค่าเงินบาท” 56 ไฟแนนซ์ถูกปิดตัวลง รวมถึงบริษัทของเขาด้วย พร้อมกับมีกระแสว่าต่างชาติจะเข้ามาครองประเทศ เขาจึง “คิดใหม่” และ “ปรับตัว” ให้เข้ากับสังคมธุรกิจของไทยที่เปลี่ยนไป ด้วยการเข้าศึกษาด้าน “พัฒนาการบริหาร” ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) และคว้าดีกรี “ดอกเตอร์” ได้สำเร็จ

นี่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของ “ซีทีไอ”...

ต่อมา “สิทธิชัย” เข้าทำงานที่บริษัทศูนย์ประมวลผล จำกัด หรือ PCC ที่ให้บริการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำหน้าที่เป็น “เอทีเอ็ม พูล” ให้กับประเทศไทยทำให้เขามีโอกาสได้ประสานงานกับนายแบงก์ต่างๆ และได้รับโอกาสจาก “ไทยธนาคาร” ดึงตัวไปทำหน้าที่ดูแลระบบและเครือข่าย “เอทีเอ็ม” ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้พบปะ และถูกดึงตัวไปร่วมงานกับบริษัทผู้จัดจำหน่าย “ตู้เอทีเอ็ม” ให้กับธนาคารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากที่สุด อย่าง “บริษัท ดีโบลด์(ประเทศไทย) จำกัด”

“ผมทำงานที่นั่น 6 ปี วันหนึ่งชีวิตพลิกผันอีก เมื่อ CB Bank ธนาคารใหญ่อันดับ 2 ของเมียนมา ที่เป็นลูกค้าของดีโบลด์ ต้องการตู้ครอบกล่องไฟตู้เอทีเอ็มผมจึงเสนอผู้บริหารไป แต่ไม่ผ่าน ผมจึงแจ้งไปที่ CB Bank แต่เขาตอบกลับมาว่าเขาไม่ได้ต้องการดีลกับบริษัท แต่ต้องการดีลกับผม ผมจึงเริ่มเดินสายเข้าหาบริษัทที่ผลิตตู้ครอบอยู่แล้ว แล้วส่งไปขายให้เขา จากนั้นธุรกิจโตขึ้นผมจึงลาออกมารันธุรกิจของตัวเอง ผ่านบริษัทซีทีไอ เอแพค จำกัด”

จากจุดเล็กๆ วันนี้ “ซีทีไอ” เติบโตขึ้น...ปัจจุบันซีทีไอมีธนาคารชั้นนำในลาว เช่น ธนาคารพงสะหวัน เป็นลูกค้า แต่ที่เมียนมาจะเติบโตขึ้นมากกว่า โดยช่วง 2 ปีมานี้ยอดขายตู้ครอบกล่องไฟ “เอทีเอ็ม” เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดขายขยายตัวเป็นเท่าตัวและกลายเป็นก้าวสำคัญของ “ซีทีไอ” เมื่อเขาได้เข้าไปตั้ง “โรงงาน” ในเมียนมามูลค่าก่อสร้างราว 30 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนตุลาคมนี้ ภายใต้ชื่อ “MTC” หรือแปลง่ายๆ ว่า “ความร่วมมือระหว่างเมียนมาและประเทศไทย”

“MTC เป็นการร่วมทุนกับนักธุรกิจเจ้าของ CB Bank ซึ่งจะไม่ทำแค่ตู้ครอบกล่องไฟ แต่จะขยายธุรกิจที่ครบวงจร โดยรับผิดชอบทุกอย่างในสาขาธนาคาร ตั้งแต่ก่อสร้าง ตกแต่ง และเตรียมขยายเพิ่มอีก 1 บริษัท เพื่อทำธุรกิจด้านFinTech หรือเทคโนโลยีด้านการเงิน จากนั้นอีก 3 ปี จะขยายไปสู่การทำป้ายธนาคาร วินเทจช็อปทั้งหมดในเมียนมา และลาว นั่นคือหลังจากนี้ธนาคารที่เห็นในเมียนมา และลาว เกือบทั้งหมดจะเป็นฝีมือของ MTC”

“สิทธิชัย” กล่าวอีกว่า การจับธุรกิจในเมียนมา ถือเป็นการเพิ่มโอกาส“ต่อยอด” สู่ธุรกิจอื่นๆ ได้อีกด้วย เพราะนักธุรกิจในเมียนมาไม่ได้มีเพียงธุรกิจเดียวแต่จะทำหลากหลาย อย่างเจ้าของ CB Bank นอกจากมีธนาคารแล้ว ยังมีรีสอร์ท โรงพยาบาลสายการบิน เป็นต้น ซึ่งสามารถนำความถนัดเรื่องการวางระบบทางการเงินและอื่นๆ ของซีทีไอเข้าไปแทรกอยู่ในธุรกิจเหล่านั้นได้ เท่ากับ “ยิงปืนนัดเดียว ได้นกหลายตัว”

แต่เหนือสิ่งอื่นใด...เขาบอกว่า การจะร่วมธุรกิจกับนักธุรกิจในลาว และเมียนมาได้ราบรื่นนั้น เราต้องก้าวเข้าไปอยู่ “กลางใจ” เขาให้ได้ โดยยึด “หลัก 3 ประการ” คือ 1.“คุณธรรม” ต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเราอยากให้เขาเติบโตไปพร้อมกับเรา ลดราคาได้ต้องลด 2.“ซื่อสัตย์-ตรงเวลา” ส่งมอบสินค้าให้ตรงตามที่นัดหมายแม้เราจะ “บาดเจ็บ” ขาดทุนกำไรน้อยลงจากสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ ก็ตาม และ 3.“เรียนรู้” จากเขาให้มาก และ “ห้ามดูถูก” ความสามารถ หรือความรู้ของเขา

“ผมยึดหลัก 3 ข้อนี้ ทำให้เขาไว้ใจดึงไปเป็นพาร์ทเนอร์ โรงงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นตัวอย่าง ซึ่งผมไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโรงงานในเมียนมาได้ โดยเฉพาะช่วงที่การเมืองประเทศเขายังไม่นิ่ง ถือว่าเสี่ยงมาก แต่เขาบอกว่าอย่ากังวล ถ้ายึดหลัก 3 ข้อนี้ได้อย่างไรก็รอด”

“สถานีต่อไปของ...“ซีทีไอ”.?

“สิทธิชัย” กล่าวทิ้งท้ายว่าในอนาคตวาง “ซีทีไอ” ไว้ที่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ “กูรู” ด้านธุรกิจธนาคารที่ครบวงจร เน้นที่ลาว และเมียนมา อย่าลืมว่าในธนาคารมีตั้งแต่ประตูเหล็ก ห้องนิรภัย รถขนเงิน...ฯลฯ ซึ่งซีทีไอจะเข้าไป “ดูแล” ทั้งหมดให้ได้ ต่อไปถ้าเกี่ยวเนื่องกับ“ตู้เอทีเอ็ม” และธนาคาร ลูกค้าจากลาวและเมียนมา จะเลือกใช้บริการจากเราทั้งหมด ภายใต้เป้าหมาย...

“ซีทีไอ” ไม่ฝันจะเป็นเบอร์ 1...

แต่จะเป็น “ผู้นำ”!!!