นายศรัญ บุญญะศิริ ผู้จัดการโครงการศึกษาแผนแม่บทการขนส่งทางอากาศของประเทศไทย เปิดเผยว่าตามแผนแม่บทการขนส่งทางอากาศนั้นได้มีการเสนอให้มีการลงทุนก่อสร้างท่าอากาศยานส่วนบุคคล (General Aviation) วงเงินลงทุน 9,400 ล้านบาท เพื่อรองรับตลาดการบินที่เติบโตในภูมิภาค โดยสนามบินดังกล่าวจะสามารถรองรับเครื่องบินส่วนตัว เครื่องบินเจ๊ต เครื่องบินพยาบาลการแพทย์ และเฮลิคอปเตอร์ เป็นต้น

ล่าสุด กรมท่าอากาศยาน (ทย.)อยู่ระหว่างการศึกษาพบว่ามีพื้นที่ที่มีความเหมาะสม 3 แห่ง ได้แก่ ฉะเชิงเทรา บางขุนเทียน และนครชัยศรี เนื่องจากเป็นพื้นที่มีระบบขนส่งรองรับทั้งรถไฟฟ้า ทางด่วนและรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคต

ส่วนของรูปแบบการลงทุนนั้นจะเป็นรูปแบบให้เอกชนร่วมทุน(PPP) โดยให้เอกชนทำหน้าที่บริหารและลงทุนก่อสร้าง เช่น รันเวย์ขนาด 1,500-2,000 เมตร,ลงทุนโรงซ่อมและเก็บเครื่องบิน(Hangar) รวมถึงลงทุนก่อตั้งโรงเรียนผลิตบุคลากร โดยเปิดให้นักบินสามารถเก็บชั่วโมงบินและช่างซ่อมบำรุงสามารถเก็บประสบการณ์ทำงานระหว่างศึกษาเตรียมความพร้อมบรรจุเข้าระบบ

ปัจจุบันพบว่ามีความต้องการใช้บริการท่าอากาศยานส่วนบุคคลอย่างมาก โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือนักลงทุน บุคคลผู้มีชื่อเสียง ที่มีอัตราการใช้จ่ายเงินที่สูงมากเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวทั่วไป นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีชื่อเสียงด้านการแพทย์อีกด้วยสามารถรองรับมหาเศรษฐีจากทั่วโลกที่จะบินเข้ามาใช้บริการได้ ซึ่งสนามบินหลักเช่น ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้ไม่มีตารางเที่ยวบินเพียงพอ

อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการเสนอแก้กฎหมายการจัดเก็บค่าจอดเครื่องบินเนื่องจากขณะนี้ยังใช้เกณฑ์ราคาเดิม โดยรัฐบาลได้กำหนดราคาค่าจอดเครื่องบินคิดเป็นแบบเต็มลำขนาดใหญ่แต่ยังไม่มีอัตราสำหรับค่าจอดเครื่องบินขนาดเล็กทำให้เครื่องบินส่วนตัวและเครื่องบินขนาดเล็กต้องจ่ายเต็มราคา ซึ่งในต่างประเทศอัตราค่าจอดเครื่องบินขนาดเล็กถูกกว่าเครื่องบินขนาดใหญ่ถึง 4 เท่า หรือคิดเป็น 20% ของราคาเต็ม โดยหากสามารถกำหนดราคาใหม่ได้เชื่อว่าจะมีเอกชนสนใจที่จะเข้ามาลงทุน

ด้านแหล่งข่าวจากกรมท่าอากาศยาน (ทย.) กล่าวว่าขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบก่อนจัดทำร่างเอกสารเงื่อนไขการประกวดราคา(TOR) เพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เปิดประมูลโครงการดังกล่าวให้ได้ในปี 2562 ส่วนการลงทุนจะใช้รูปแบบ PPP โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี และเปิดบริการเต็มรูปแบบได้ในปี 2566