หลังจากกลุ่ม 7 สมาคม ได้เข้ายื่นหนังสือแสดงความเดือดร้อนของอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 กรณีที่กระทรวงพาณิชย์จะไม่ต่ออายุมาตรการเซฟการ์ดเหล็กเจืออัลลอยด์เพราะจะทำให้อุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนที่มีการลงทุนกว่า 500,000 ล้านบาท ต้องหยุดการผลิตเหมือนดังเช่นในปี 2556 หรืออาจจะต้องปิดกิจการในที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดหนี้เสีย (NPL) กับธนาคารเจ้าหนี้รวมนับแสนล้านบาท ซึ่งจะกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมของการลงทุนของประเทศ
ล่าสุดนายชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานกรรมการบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “คณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้องได้มีการเร่งรัดให้มีการประชุมเพื่อกำหนดมาตรการขั้นที่สุด โดยจะพิจารณาว่าจะขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการต่อไปอีกหรือไม่ภายในสัปดาห์นี้ แต่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง ได้ออกมาเผยทิศทางก่อนการประชุมแล้วว่าจะไม่พิจารณาขยายระยะเวลาการบังคับใช้อย่างแน่นอน โดยไม่พิจารณาความเดือดร้อนของอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อน และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ได้ให้ข้อมูลในการประชุมรับฟังความเห็น รวมถึงเป็นการตัดสินใจยุติมาตรการท่ามกลาง
กระแสข่าวว่าสหภาพยุโรปได้มีการพิจารณาตัดสินให้ปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ โดยให้บังคับใช้ในวันที่ 4 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งมีสินค้าเหล็กไทยถูกบังคับใช้มาตรการด้วย
ทั้งนี้กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตในประเทศจึงร้องขอความอนุเคราะห์จากท่านนายกรัฐมนตรีให้ความเป็นธรรม และพิจารณาถึงความเดือดร้อนของอุตสาหกรรมผู้ผลิตทั้งห่วงโซ่การผลิตที่จะได้รับผลกระทบจากการยุติมาตรการดังรายละเอียดที่ได้มีการยื่นหนังสือร้องเรียนไปแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
นายชัยณรงค์ กล่าวอีกว่า ในช่วงปี 2561 จนถึงปัจจุบัน สงครามการค้าโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเหล็กมีความรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ section 232 โดยอ้างความมั่นคงแห่งชาติ
ของสหรัฐอเมริกา และการใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าเหล็กที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) ของสหภาพยุโรป แคนาดา ตุรกี และประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยภาครัฐเป็นผู้ฟ้องเองและเร่งสร้างกำแพงป้องกันและชะลอการนำเข้าสินค้าเหล็กเข้าประเทศของตน ทำให้สินค้าเหล็กปริมาณนับร้อยล้านตันต่อปี จากประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก ที่กำลังเข้าตาจนจากกำแพงการค้ากีดกันจากทั่วโลก ต้องหาทางส่งออกไปยังประเทศอื่นแทน ซึ่งไทยคือหนึ่งในเป้าหมายใหญ่เพราะไม่มีกำแพงปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
ทั้งนี้อุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับหลายอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจสนับสนุนต่างๆ ซึ่งเกี่ยวพันถึงการจ้างงานคนทั้งทางตรง และทางอ้อมกว่า 100,000 อัตรา และพนักงานในบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพื้นที่ที่โรงงานตั้งอยู่และเป็นเสาหลักของครอบครัวดังนั้นหากอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนต้องปิดกิจการไป คนกว่า 100,000 คนนี้ อาจจะต้องตกงาน จึงขอวิงวอนรัฐบาลอย่าทำให้อุตสาหกรรมพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต้องปิดกิจการลง ซึ่งขณะนี้ ผู้ผลิตเหล็กจาก จีน เกาหลีใต้ อินเดีย รัสเซีย ตุรกี ฯลฯ หลังจากทราบข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ไทยแล้ว ได้เสนอราคาขายสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยมายังไทย และพร้อมทุ่มตลาดประเทศไทยหลังสิ้นสุดมาตรการเซฟการ์ดทันที
“การที่กระทรวงพาณิชย์ยุติมาตรการเซฟการ์ดเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอย จึงเป็นการพังกำแพงในการปกป้องอุตสาหกรรม และแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย โดยเปิด
ช่องโหว่มโหฬาร ให้เหล็กแผ่นรีดร้อนอัลลอยด์จากทั่วโลกมาทุ่มตลาดไทย เพราะนอกจากเลี่ยงอากรทุ่มตลาดได้แล้ว ก็ยังไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า 5% อีกด้วย ทั้งนี้ ไม่อยากให้ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีช่วยชุติมา บุณยประภัศร เป็นผู้ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยทั้งห่วงโซ่การผลิตล่มสลาย และภาคเอกชนตลอดจนแรงงานในอุตสาหกรรมเหล็กต้องเดือดร้อนกันอย่างแสนสาหัส”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี