nn ก็ต้องยอมรับล่ะว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกได้....ด้วยปัจจัยลบหลายด้านทำให้การส่งออกไทยอาจจะมีอัตราการขยายตัวเป็น 0 หรือไม่ก็อาจจะติดลบด้วยซ้ำ...ส่วนการลงทุนภาคเอกชนนั้นก็ยังซบเซาตามภาวะส่งออกที่ทรุดและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่...ส่วนการลงทุนของภาครัฐเกินกว่า 60 ตกอยู่ในมือต่างชาติโดยเฉพาะจีนกวาดไป 50%...
ครั้นจะหันไปพึ่งการบริโภคภายในประเทศ ปรากฏว่าคนไทยยังแบกหนี้ครัวเรือนไว้สูงเกือบ 80% ควักกระเป๋าดูก็มีแต่ใบแจ้งหนี้ไม่มีเงินเหลือจะใช้จ่าย...ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือนระดับกลางถึงล่าง หรือกลุ่มเกษตรกรที่ต้องเจอปัญหาพืชผลตกต่ำและผลผลิตที่เสียหายจากภัยแล้ง....
คงเหลือแต่ภาคการท่องเที่ยว ที่แม้ว่าปีนี้จะไม่หวือหวามากนักแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายจนถึงขั้นติดลบ...แม้ว่าตัวเลขครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) 1.562 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวต่างประเทศ 19.9 ล้านคน ขยายตัว 2% สร้างรายได้เข้าประเทศ 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% ขณะที่คนไทยเที่ยวในประเทศ 77.5 ล้านคน/ครั้ง เพิ่มขึ้น 5% และสร้างรายได้ 562,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%....
ส่วนตัวเลขทั้งปี ก็ตั้งเป้าหมายไว้ที่ จะมีรายได้รวม 3.4 ล้านล้านบาท เป็นรายได้ที่เกิดจากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 12% คิดเป็นวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท และตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น 10% คิดเป็นเงิน 1.2 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11 % และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.75%...
อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวก็ต้องรับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้านเหมือนกัน....ทั้งเรื่องผลกระทบเศรษฐกิจจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับสหรัฐฯและจีน และผลกระทบต่อเนื่องกับประเทศคู่ค้าของทั้งสองประเทศ ....การแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดของคู่แข่ง เช่น เวียดนาม รวมทั้งความยืดเยื้อของการประท้วงใหญ่ในฮ่องกง และการยุติการให้บริการของสายการบินเจ็ต แอร์เวย์ส จากภาวะล้มละลาย ซึ่งเป็นสายการบินใหญ่ของอินเดีย...ฯลฯ
การที่ คุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ....จะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามาตรการ “ยกเว้นวีซ่า” แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดียที่เดินทางมาไทย กำหนดให้พำนักในไทยได้ 15 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2562 – 31 ต.ค. 2563 หรือเป็นระยะเวลา 1 ปี และ “ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าแบบ VoA” อัตรา 2,000 บาทต่อคน จะเสนอให้ต่ออายุมาตรการนี้ซึ่งเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค. 2562 ออกไปอีก 1 ปี หรือจนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2563 แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ 19 ประเทศ ไม่รวมจีนกับอินเดีย เพราะถือว่ายกเว้นวีซ่าให้แล้ว….!! ก็ถือว่าเป็นความพยายามที่จะทำงานอย่างหนึ่ง ของรมว.การท่องเที่ยวฯคนใหม่...
แต่ถ้าจะถามว่าจะทำให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหรือเปล่าอันนี้ไม่ชัดเจน...แต่ที่แน่ๆ เม็ดเงินรายได้ของรัฐหายไปแน่ๆ 3 หมื่นล้าน....ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหรือเปล่า...อันนี้ก็ไม่มีอะไรชี้ชัดว่า เรื่อง“ปลอดวีซ่า”เป็นปัจจัยหลัก...
การท่องเที่ยวของไทย...เลยจุดที่ต้องพึ่งพิงการท่องเที่ยวเชิงปริมาณไปแล้ว...ถึงวันนี้ไทยต้องพูดถึงเรื่องการท่องเที่ยวคุณภาพและยั่งยืน...นั่นก็คือว่าจำนวนนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลทุกปี แต่ที่ต้องเน้นคือ การใช้จ่ายต่อหัวต้องเพิ่ม...และการใช้จ่ายที่ว่าก็ต้องตกอยู่กับผู้ประกอบการไทยเป็นหลักและกระจายไปยังท้องถิ่นให้ทั่วทุกภูมิภาค...ไม่ใช่ว่า โรงแรม ร้านอาหาร ร้านของที่ระลึก รถบัสโดยสาร ก็ล้วนแต่เป็นของกลุ่มทุนต่างชาติ....ส่วนไทยก็ได้แต่กองขยะ กับความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ ที่ต้องเป็นภาระให้เข้าไปฟื้นฟู....
อยากเห็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯคนใหม่....คิดใหม่ ทำใหม่....ไม่ใช่ย่ำไปบนความผิดพลาดเดิมๆ อีก...
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี