พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นคาดการณ์จะหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯว่า ได้หารือกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มาโดยตลอด พร้อมตั้งคณะกรรมการร่วมกันทั้งจากกระทรวงการคลัง ธปท. และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์เงินบาทอย่างใกล้ชิด และหามาตรการเสริมมาช่วยแล้ว
ส่วนกรณีที่นักวิชาการหลายสำนักประเมินปีนี้สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยจะหนักมากกว่าปีที่ผ่านมานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือแย่ลง ดูได้จากปัจจัยภายในและภายนอก แต่สิ่งสำคัญคือ ทุกคนจะร่วมมือกันแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งตนอยากรับฟังแนวคิดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ มากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์เพียงอย่างเดียว
ขณะที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน กล่าวถึงกรณีเงินบาทไทยแข็งค่าว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศ แต่ทุกฝ่ายพยายามบริหารจัดการ และเกี่ยวกับกลไกหลายอย่าง รัฐบาลได้ตามเรื่องนี้ต่อเนื่อง เมื่อถามว่าเงินบาทจะแข็งค่าอีกนานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และทุกฝ่ายไม่ได้นิ่งนอนใจ ดูแลอย่างเต็มที่
ด้าน นางสาววชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. เปิดเผยค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าของวันที่ 2 มกราคม 2563 พบว่า เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงจากที่ได้แข็งค่าเร็วในช่วงก่อนวันหยุดสิ้นปีมาที่ระดับ 30.18 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าอัตราอ้างอิงเฉลี่ยของวันที่ 30 ธันวาคม 2562 โดยสภาพคล่องในตลาดเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่ค่าเงินบาทยังมีความผันผวนสูงในสภาวะที่ตลาดกำลังมีการปรับสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขายดอลลาร์ ทั้งนี้ ธปท.จะดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด โดยผู้ร่วมตลาดอาจรอดูสถานการณ์การปรับตัวของตลาดสู่ภาวะปกติก่อนเร่งทำธุรกรรม
มีรายงานแจ้งว่า เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานค่าเงินบาทของไทยว่า ค่าเงินบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ยังคงทำสถิติแข็งสุดในรอบ 6 ปี โดยอยู่ที่ระดับ 29.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2562 ที่ผ่านมาพบว่าเงินบาทแข็งค่าประมาณ 8% แต่คาดว่าค่าเงินจะอ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการเข้ามาบริหารจัดการค่าเงินของธปท.
ด้านนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทีพีไอโพลีนระบุว่า การที่รัฐบาลจะได้ให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โตขึ้นถึง 5% รัฐบาลจำเป็นต้องให้แม่ทัพการเงินคือ“ผู้ว่าการ” ผู้ดูแลนโยบายการเงินหรือผู้ว่าการธปท.จะต้องลดค่าเงินบาทลง 10%มิฉะนั้น รัฐบาลจะไม่สามารถที่จะทำ GDP ให้โตถึง 5% ได้โดยอาศัยนโยบายการคลังจากกระทรวงการคลังอย่างเดียว
“ถ้าเรายอมให้เงินบาทอ่อนลง 10% กล่าวคือจาก 30 บาทต่อดอลลาร์เป็น 33 บาทต่อดอลลาร์ เราสามารถเพิ่ม GDP ให้โตถึง 5% ได้แน่นอน เมื่อ GDP โตขึ้นถึง 5% ก็จะทำให้โรงงานต่างๆ ในประเทศสามารถเพิ่มกำลังผลิตได้และก็มีประสิทธิภาพและมีกำไรมากขึ้น การว่าจ้างแรงงานก็เต็ม 100% คนว่างงานซึ่งต้องไปประกอบอาชีพผิดกฎหมายก็น้อยลง”นายประชัย ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี