เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือนมกราคม 2563 พบว่า อยู่ที่ระดับ 45.4 จุด ปรับตัวลดลง0.3 จุด จากเดือนธันวาคม 2562 โดยเป็นการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 โดยปัจจัยลบมาจากการส่งออกไทยเดือนธันวาคม 2562 ที่ลดลง รวมทั้งปัจจัยค่าเงินบาท การเบิกจ่ายงบประจำปี 2563 ล่าช้า นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5, การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้ง
ขณะที่ปัจจัยบวกเดือนมกราคม ได้แก่ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากประชาชนและภาคธุรกิจยังไม่มีความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจ
ขณะที่ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2563 โดยมองว่า จะขยายตัวได้เพียง 0.5-0.8% เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ปัญหาฝุ่น PM2.5 และเรื่องแล้ง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เม็ดเงินหายจากระบบประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งกระทบตัวเลขจีดีพีลดลง 1-1.5%
พร้อมหวังสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะจบลงภายในเดือนมีนาคมหรือเมษายน และรัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เข้าสู่ระบบได้ภายในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม เพื่อกระตุ้นให้ตัวเลขจีดีพีโต 2-3% ต่อไตรมาส ซึ่งจะหนุนให้จีดีพีปี 2563 โตได้ 2.8% ตามเป้าหมายที่วางไว้
“มองว่าจีดีพีไตรมาส 4/2562 จะขยายตัวไม่ถึง 2% ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีประเมินไว้ เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโค้งสุดท้ายของปีที่รัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 200,000 ล้านบาท เข้าสู่ระบบ ไม่เป็นผลเพราะประชาชนไม่ได้มีการใช้จ่ายมากเท่าที่ควร” นายธนวรรธน์ กล่าว
ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนให้เติบโตชะลอลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยผ่านทาง 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ ช่องทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า หากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ยืดเยื้อยาวนานเกิน 3 เดือน (แต่ไม่เกิน 6 เดือน) เศรษฐกิจจีนอาจเติบโตต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ราวร้อยละ 1.0 และอาจลงไปแตะที่ระดับประมาณร้อยละ 4.7 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาเซียนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.4-3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.07-0.11 ของ จีดีพี อาเซียนทั้งหมด โดยในส่วนของประเทศไทย ผลกระทบอาจอยู่ในระดับปานกลาง โดยมูลค่าความเสียหายอาจจะอยู่ในระดับ 500-700ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 0.09-0.13 ของจีดีพีทั้งปีของไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี