นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างรุนแรงกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank จึงได้มอบหมายให้ ธพว. เร่งช่วยเหลือฟื้นฟูธุรกิจให้แก่เอสเอ็มอี
เพิ่มเติมโดยเติมทุนสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษ เพื่อให้เอสเอ็มอีทุกกลุ่มธุรกิจทั่วประเทศ มีเงินทุนไปหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง จ้างงาน และฟื้นฟูธุรกิจให้กลับคืนมาอีกครั้ง คาดจะอนุมัติสินเชื่อได้กว่า 40,000 ล้านบาท ช่วยเอสเอ็มอีได้ประมาณ 24,000 กิจการ ส่งผลดีต่อไปยังระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เกิดการสร้างงานสร้างรายได้สู่ท้องถิ่น ช่วยรักษาการจ้างงานประมาณ 120,000 ราย สร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจประมาณ 90,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้คณะกรรมการ ธพว. ได้มีมติอนุมัติผ่อนปรนเงื่อนไขการลดเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างน้อย2 ปี จากเดิมตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะอยู่ที่ 6 เดือนรวมทั้งสัญญาที่ลูกค้าทำข้อตกลงไว้กับธนาคารก็จะยืดระยะเวลาออกไปให้นานขึ้น 5-10 ปีจากเดิมส่วนใหญ่ประมาณ 5 ปี เพื่อลดภาระการผ่อนชำระให้กับเอสเอ็มอี โดยทั้ง 2 มาตรการนี้ลูกค้าต้องยื่นเจตจำนงที่จะเข้าร่วมโครงการด้วยตนเอง
“การพักชำระหนี้เงินต้นและขยายการคืนเงินกู้จะทำให้เอสเอ็มอีประคองตัวเองอยู่ได้ก่อนเบื้องต้น จากนั้นก็จะเติมเงินอัดฉีดเสริมสภาพคล่องที่ ธพว.มีโครงการต่างๆ ออกมา ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5.22%จึงมองว่าการปรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้จึงไม่น่าห่วง โดยได้เน้นย้ำเสมอว่า ธพว. จะแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เพราะ ธพว. เมื่อปล่อยสินเชื่อไปแล้วสามารถทำให้บริษัททำธุรกิจต่อไปได้ และมีผลกำไรรัฐก็จะมีภาษีเงินได้เข้ามาด้วย”นายสุริยะกล่าว
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธพว.กล่าวว่าการยืดระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ออกไปเป็น 10 ปีนั้น โดยหลักจะมุ่งเน้นที่ลูกค้าเก่าของธนาคาร ส่วนรายใหม่ก็จะต้องเริ่มต้นใหม่ทำสัญญา แล้วแต่ว่าจะสัญญากี่ปีไม่ว่าจะเป็น 5 หรือ 7 ปี เป็นต้น ซึ่งในส่วนของรายใหม่เองเวลาที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ ในช่วง 1 ปีแรก ก็จะจ่ายชำระแค่ดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ไม่มีภาระอยู่แล้ว
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการ ธพว. กล่าวว่า ธนาคารจะกระจายการสนับสนุนเอสเอ็มอีทั่วประเทศครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ด้วยการใช้ออฟไลน์ควบคู่ออนไลน์ จับมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อผลักดันเอสเอ็มอีทั่วประเทศให้เข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินของ ธพว. มากที่สุด
ที่ผ่านมา ธพว. ดำเนินมาตรการเยียวยาช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ภายใต้ชื่อมาตรการ “ลด-พัก-ขยาย-ผ่อน-เพิ่ม” โดย ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 มีเอสเอ็มอีไทยเข้าสู่มาตรการแล้ว9,458 ราย คิดเป็นมูลค่ารวม 14,924.63ล้านบาท อีกทั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-15 พฤษภาคม 2563 ธพว. ได้เติมทุนช่วยเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไปแล้ว 3,329 ราย วงเงินรวม 6,231.31 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังช่วยเหลือลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายตามนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยชะลอการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ สูงสุด 6 เดือน ให้ลูกค้าทุกรายที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยมีลูกค้า ธพว. ได้รับการชะลอการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ43,215 ราย คิดเป็นมูลค่ารวม 66,479 ล้านบาทซึ่งแม้มาตรการนี้ จะส่งผลให้ ธพว. สูญเสียรายได้เดือนละกว่า 2,100 ล้านบาท เป็นเวลา 6 เดือน แต่ธนาคารก็ยินดี เพราะได้มีส่วนช่วยเหลือลูกค้าและส่งเงินกลับคืนเข้าหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 12,600 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ธพว. ได้ดำเนินมาตรการพักชำระหนี้เงินต้น สูงสุด 12 เดือน ให้แก่ผู้ประกอบการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กลุ่มเป้าหมายประมาณ 10,000 ราย ภาระหนี้รวม 11,800 ล้านบาทนับตั้งแต่เปิดรับคำขอเข้าร่วมโครงการ20 เมษายน-26 พฤษภาคม 2563 มีลูกค้ากองทุนประชารัฐเข้าร่วมโครงการแล้ว 2,961 ราย วงเงินประมาณ 5,516 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี