นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) เปิดเผยว่าจากสถิติของ กรมการขนส่งทางบก พบว่ามีแนวโน้มการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากสถิติของกรมการขนส่งทางบก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน2563) ระบุจำนวนจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle) หรือ BEV มีจำนวน 4,301 คัน และยานยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทั้งแบบไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด (HyBrid/Plug-in Hybrid Electric Vehicle) หรือ HEV/PHEV มีจำนวน 167,767 คัน และสถานีอัดประจุไฟฟ้ามีจำนวนหัวจ่ายไฟฟ้ารวมกว่า 1,854 หัวจ่าย
ขณะที่ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยได้ร่วมมือกับ 11 หน่วยงาน เพื่อร่วมพัฒนาโมเดลการใช้งานสถานีอัดประจุไฟฟ้าข้ามเครือข่ายหรือ Charging Consortium ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเเห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด บริษัท กริดวิซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด บริษัท จีแอลทีกรีน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โชเซ่น เอ็นเนอร์จี้ จำกัด เเละ บริษัท เดอะ ฟิฟท์ อีลีเม้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
สำหรับ โครงการสนับสนุนการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) และดำเนินงานโครงการฯโดยสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย เพื่อให้การสนับสนุนแก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นสถานีนำร่องสำหรับรองรับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต จากการเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมโครงการจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ จำนวน 68 หน่วยงาน รวมทั้งสิ้น 80 หัวจ่าย
“ในอนาคตผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้บริการอัดประจุไฟฟ้าได้ในทุกเครือข่ายฯ รวมไปถึงการมีระบบการให้บริการที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือผู้ที่วางแผนอยากปรับเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าไร้มลพิษ เกิดความมั่นใจในการเข้าถึงสถานีชาร์จไฟฟ้าที่กระจายตัวอยู่ในที่สาธารณะได้มากขึ้น”นายกฤษฎากล่าว
ทั้งนี้ สนพ.และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้งานยานยนต์นโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านระบบไฟฟ้า สถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งยังมีการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid), ระบบมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ(Smart Meter) และแผนลดการใช้ไฟฟ้าประชาชนภาคสมัครใจ (Demand Response) โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า อาทิ ราคาค่าบริการการชาร์จไฟฟ้า การนำเอาไฟฟ้าส่วนเกินมาป้อนให้กับยานยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ สนพ. ยังได้ศึกษากรณีให้ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถขายไฟฟ้าในส่วนที่เหลือจากแบตเตอรี่รถเข้าระบบผลิตไฟฟ้าได้ เพื่อให้ระบบแบตเตอรี่รถสามารถเป็นระบบสำรองไฟฟ้าช่วยเสริมความมั่นคงไฟฟ้าประเทศได้ในอนาคต และในปัจจุบันเทคโนโลยีสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) มีความก้าวหน้ามากขึ้น ยกระดับไปสู่การเป็นสถานีอัดประจุไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Charge) ที่สามารถคำนวณได้ว่าควรชาร์จไฟฟ้าช่วงเวลาใดเพื่อให้ได้อัตราค่าชาร์จไม่แพง รวมไปถึงแบตเตอรี่สามารถเป็นโรงไฟฟ้าเสมือน โดยให้ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถปล่อยประจุไฟฟ้ากลับเข้าสู่ระบบ เพื่อสร้างรายได้ให้ผู้ใช้ได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ในระหว่างการนำมาศึกษารูปแบบและประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับประเทศต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี