“โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม” ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทางรวม 35.9 กิโลเมตร เป็นโครงการขนส่งมวลชนสาธารณะ ที่มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อการเดินทางในกรุงเทพฯ ทิศตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน กำลังเผชิญความท้าทายใหญ่ว่าจะสามารถ “เดินหน้า” เปิดบริการตามแผนงานของรัฐบาลภายใต้การนำสมัยที่ 2 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือต้องเจอ ”โรคเลื่อน” อย่างที่หลายโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโพรเจ็กต์) ในรัฐบาลชุดก่อนๆ เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน
เพราะหลังจาก “ครึ่งหนึ่ง” ของเส้นทางในโครงการนี้ หรือเส้นทางฝั่งตะวันออก มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้ว 69.82% (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563) แต่เส้นทางฝั่งตะวันตก ที่เปิดขายซองประมูลไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา และมีเอกชนรายใหญ่สนใจเข้ามาซื้อซองไปถึง 10 ราย แต่ยังไม่ทันจะเข้าสู่กระบวนการยื่นซองร่วมประมูล เกือบทุกรายรวมทั้งคนทั่วไปที่ติดตามข่าวสารโครงการนี้ก็ “สตั๊นท์” กันถ้วนหน้า เมื่อเจ้าของอภิมหาโครงการนี้อย่างการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ทุบโต๊ะเปรี้ยงประกาศให้มีการ “ปรับเปลี่ยน” เกณฑ์การประมูล “ตามใจ” บริษัทรายหนึ่งที่จ่อคิวเข้าประมูลด้วย
น่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่ผู้บริหาร รฟม. อันเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ออกมายืนยันกับสังคมว่า “การปรับหลักเกณฑ์คัดเลือกเอกชนในครั้งนี้ เป็นสิทธิ์ที่คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 สามารถดำเนินการได้ และเป็นไปตามข้อกำหนดใน พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 โดยจากการปรับหลักเกณฑ์ครั้งนี้ ดำเนินการก่อนเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอ และยังไม่ส่งผลเสียหายต่อเอกชนรายใด ไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ”
ขณะที่ ทางรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงคมนาคม คือ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กลับดูเหมือนอยู่ในบทบาทที่ “โลว์ โพรไฟล์” กว่าผู้บริหารของหน่วยงานใต้สังกัด จนกระทั่ง “สื่อ” และ “สังคม” แทบจะลืมเลือนไปแล้วว่า นี่คือผู้บริหารเบอร์ 1 ที่ต้องช่วย “กำหนด” ทิศทางในการเดินหน้าโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมที่สำคัญของประเทศ และมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ทั้งนี้ เชื่อแน่ว่า ถ้าเจ้ากระทรวง สั่งให้ รฟม. ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ผู้ว่า รฟม. ย่อมต้องปฏิบัติตาม
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก มีเอกชนซื้อซอง 10 ราย แทบทุกรายเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แก่ 1.บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM 2. บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) 3. บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS 4. บมจ.ซิโน–ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น หรือ STEC 5. บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD 6. บมจ. ราช กรุ๊ป หรือ RATCH 7. บมจ. ช.การช่าง หรือ CK 8. บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF 9. ซิโนไฮโดร คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด และ 10.บริษัท วรนิทัศน์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถึงวันยื่นซองประมูลตามที่กำหนดไว้เดิม 23 กันยายน 2563 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ก็เกิดความไม่แน่นอน ที่อาจทำให้โครงการต้องล่าช้าออกไปอีกเมื่อ รฟม. “ยอม” แก้เกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกใหม่ ตามความต้องการของอิตาเลียน ไทยฯ หนึ่งในผู้ที่จะเข้าประมูล
เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การแก้เกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกเอกชน เข้าร่วมลงทุน ก็เหมือนการแก้ข้อสอบใหม่ หลังจากครูแจกข้อสอบไปแล้ว นักเรียนทุกคนเห็นข้อสอบแล้ว แต่เมื่อนักเรียนคนหนึ่ง ยกมือขึ้นบอกว่า ครูครับ ขอแก้ข้อสอบใหม่ตามนี้ๆ และครูก็ตามใจ แม้นักเรียนที่เหลือทั้งห้องจะท้วงว่า ไม่เป็นธรรม แต่ครูบอกว่า แก้ได้ เพราะเป็นอำนาจของครู
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตะวันตก เป็นการลงทุนในรูปแบบเอกชนร่วมลงทุนรัฐ หรือพีพีพี (PPP) คือ เอกชน ลงทุนก่อสร้างงานโยธา งานระบบ และเดินรถ โดย รฟม. จะจ่ายเงินอุดหนุนค่าก่อสร้างงานโยธา หลังจากที่ก่อสร้างเสร็จ เปิดการเดินรถแล้วซึ่ง “ตัวเลช” เงินอุดหนุนที่เอกชนผู้เข้าร่วมลงทุนต้องการให้ รฟม. จ่ายให้ คือ เงื่อนไขสำคัญที่ชี้ขาดว่า ใครจะได้รับการคัดเลือก ผู้ที่ขอเงินอุดหนุนน้อย ก็จะทำให้ รฟม. ประหยัดงบประมาณ เพิ่มโอกาสในการได้รับคัดเลือก
การคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนแบบ PPP ผู้เสนอตัวร่วมลงทุน ต้องยื่นซอง 3 ซอง ให้พิจารณา แบบแพ้คัดออก คือ ซองที่ 1 คุณสมบัติเบื้องต้น หากผ่านซองที่ 1 จะมีการเปิดซองที่ 2 คือ ซองเทคนิค หากได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ถือว่าสอบตก หมดสิทธิ์เข้าไปแข่งในรอบสุดท้าย ผู้ที่สอบผ่านจะได้ไปต่อ ไปเปิดซองที่ 3 คือ วงเงินที่ขอให้รัฐอุดหนุน และผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐจะได้
โดยการขายซองประมูลเมื่อวันที่ 10-24 กรกฎาคม 2563 รฟม. ใช้เกณฑ์คัดเลือกข้างต้น คือ พิจารณาซองคุณสมบัติ ซองเทคนิค และซองการเงิน ตามลำดับ กำหนดให้ยื่นข้อเสนอวันที่ 23 กันยายน 2563 และประมาณการณ์ไว้ว่าจะสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ภายในเดือนธันวาคม ปีนี้แต่ถัดมาแค่ 1 เดือน นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. ออกมาประกาศว่า รฟม. ขอแก้ไขหลักเกณฑ์ใหม่ โดยจะพิจารณาซองเทคนิค ร่วมกับซองการเงิน โดยให้คะแนนซองเทคนิค 30% ซองการเงิน 70% โดยอ้างว่า ตอนแรกที่ประกาศเกณฑ์คัดเลือกเดิมที่ใช้คะแนนซองการเงิน 100% นั้น มีเวลากระชั้นชิด ไม่มีโอกาสพิจารณาให้ละเอียด แต่ถึงจะแก้เกณฑ์ใหม่ ก็ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะยังไม่มีการเปิดซอง อีกทั้งเลื่อนกำหนดการยืนซองประมูลออกไปเป็นวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563
น่าสนใจว่า ปัจจัยที่ทำให้ รฟม. เจ้าของโครงการยินยอมปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการประมูล มาจากเหตุผลเพียงหนึ่งเดียว จากผู้ประมูลเพียงรายเดียวในจำนวนผู้ซื้อซอง 10 ราย คือ “อิตาเลียน ไทยฯ” ที่เข้าไปนำเสนอผ่านคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสากิจแห่งชาติก่อนหน้าว่า การประเมินข้อเสนอการร่วมลงทุน ไม่ควรพิจารณาข้อเสนอการเงินสูงสุดเท่านั้น แต่ควรพิจารณาผู้ที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่รัฐในภาพรวม ที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ
โดยพลันที่ รฟม. มีคำประกาศข้างต้นออกมาโดย BTSC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบีทีเอส และเป็นหนึ่งในผู้ที่จะเข้าร่วมเสนตัวลงทุนแสดงความชัดเจนทันทีว่า “ไม่เห็นด้วย” และเข้ายื่นฟ้องปกครองเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว ขอให้สั่งให้ รฟม. กลับไปใช้เกณฑ์เดิม ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยระบุว่าไม่เป็นธรรม และขอให้ รฟม. กลับไปใช้เกณฑ์เดิม ระหว่างที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาออกมา ซึ่งศาลปกครองก็มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวออกมาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563
ล่าสุด รฟม. ก็เตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลปกครองสูงสุด ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำให้เห็นแนวโน้มชัดเจนแล้วว่า กำหนดการยื่นซอง รวมไปถึงการเซ็นสัญญาคงต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด จนกว่าศาลปกครองจะตัดสิน ผลกระทบต่อเนื่องก็คือ เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี ) ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่และคืบหน้าแล้วราว 70% เมื่อสร้างเสร็จตามกำหนดภายในปี 2566 ก็0tยังใช้ไม่ได้ เพราะงานระบบ ถูกนำมาไว้กับโครงการรถไฟสายสีส้มตะวันตกที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
อีกข้อสังเกตถึง “ประโยชน์ที่รัฐพึงได้” ในกรณีปรับเปลี่ยนเกณฑ์ประมูลโครงการนี้ ก็คือ ข้อเสนอทางการเงินนั้น วัดได้ว่า ใครให้มากกว่า ใครขอน้อยกว่า เพราะเป็นตัวเลข ไม่ต้องตีความ ส่วน “ผู้ที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่รัฐในภาพรวม“ และคะแนนทางเทคนิค (ที่ถูกเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาในเกณฑ์ใหม่) ไม่มีมาตรวัดที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับ “ดุลพินิจ” ของผู้ตัดสิน ซึ่งมีโอกาสที่จะเอนเอียงไปตามปัจจัยหลายๆอย่าง ที่มองไม่เห็น
ขณะที่ การก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งแบบยกระดับ และใต้ดินนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่มีเทคนิคอะไรที่ซับซ้อนพิสดาร บริษัทก่อสร้างใหญ่ๆ ของไทย ทุกแห่งล้วนมีประสบการณ์มาแล้ว เรื่องเทคนิคจึงไม่มีผลต่อโครงการ เมื่อเทียบกับข้อเสนอตัวเลขผลตอบแทน และเงินอุดหนุนที่ขอจากรัฐ เป็นเรื่องที่มีผลต่อโครงการ เพราะหมายถึง เงินภาษีของประชาชนที่รัฐต้องจ่ายมากขึ้น หากผู้เข้าร่วมประมูลขอเงินอุดหนุนสูง
มาถึงชั่วโมงนี้ บนเวทีศึกชิงโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ที่มีมูลค่าการลงทุนหลักแสนล้านบาท คงจำเป็นต้องพึ่งพาบทบาทของเจ้ากระทรวงคมนาคม ให้มาเป็น “กรรมการตัดสิน” เพื่อให้บ้านเมืองได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย และประชาชนที่เฝ้ารอได้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายนี้ “ไม่รอเก้อ”
และอย่าลืมว่าแม้ รฟม. มีสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การคัดเลือกใหม่ ตามอำนาจต่างๆ ที่กล่าวอ้างไว้ข้างต้น แต่การเปลี่ยนแปลง ควรต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้น เป็นธรรมกับผู้ร่วมประมูลทุกฝ่าย ไม่ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่เปลี่ยนเพราะมีผู้เข้าร่วมประมูลรายหนึ่งต้องการให้เปลี่ยน เพราะควรตระหนักถึงผลเสียหายต่อเนื่องด้วยว่า “จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ทั้งต่างชาติและไทย” อย่างแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี