นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ที่รุนแรงมีผู้ติดเชื้อกว่า 1 หมื่นคนต่อวัน ทำให้รัฐบาลต้องประกาศให้มีการหยุดการประกอบกิจกรรมทางธุรกิจและขอให้ภาคเอกชนทำงานจากที่บ้านอีกครั้ง ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้ผู้ประกอบการ mSMEs (Micro-entrepreneurs, Small and Medium-sized Enterprises) หรือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย จำนวนมากมีรายได้ไม่แน่นอน และขาดรายได้ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และภาคีพันธมิตรเครือข่าย ทั้ง 26 องค์กร จึงประชุมร่วมกัน และมีมติให้เสนอมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อรัฐบาล ดังต่อไปนี้
1.มาตรการพักต้น พักดอก ตลอดระยะเวลา 6 เดือน และไม่คิดดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาการพักต้นสำหรับกลุ่มลูกหนี้ mSMEs เดิม ทั้งที่ได้รับผลกระทบทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ให้เป็นหนี้เสียหรือ NPLs การพักต้น พักดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาการพักต้น และยืดระยะเวลาการชำระออกไป จะช่วยให้ต่อลมหายใจให้ดำเนินกิจการต่อได้ และเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
2.มาตรการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
2.1 สำหรับ mSMEs ที่มีสินเชื่ออยู่ในระบบสถาบันการเงิน เป็นลูกหนี้เดิมมีการผ่อนชำระดีไม่เป็น NPLs มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปีสูงกว่า 5%ให้ลดเหลือ 4% โดยรัฐบาลช่วยอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยส่วนที่ลดให้กับลูกหนี้เดิมแก่สถาบันการเงิน 1% เพราะปัจจุบันดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินเรียกเก็บกับ mSMEs ในอัตราที่สูง เมื่อพิจารณาจากพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่บังคับใช้โดยทั่วไป ให้ดอกเบี้ยผิดนัดสูงสุดไม่เกิน5% ต่อปี แต่สถาบันการเงินอาศัยอำนาจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จึงสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราตามกฎหมายดังกล่าวได้ จึงขอเสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับ mSMEs เป็นไม่เกินอัตรา 4% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี
2.2 สำหรับ mSMEs ที่มีสินเชื่ออยู่กับแหล่งเงินกู้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank) เป็นลูกหนี้เดิมมีการผ่อนชำระดีไม่เป็น NPLs มีอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการที่สูงมาก จึงขอเสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการลดลงมากึ่งหนึ่ง จนครบอายุสัญญา
3.มาตรการสินเชื่อ Soft Loan สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท พิจารณากำหนดวงเงินให้กู้จากกระแสเงินสดสุทธิจากบัญชีเงินฝากธนาคาร ไม่นำงบการเงิน มาเป็นเกณฑ์วิเคราะห์การให้สินเชื่อเป็นระยะเวลา 2 ปี เพราะงบการเงิน mSMEs อยู่ระหว่างปรับตัวเข้าสู่ระบบบัญชีเดียว ไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ได้เพราะ mSMEs มักจะใช้เงินสดในมือและเงินฝากธนาคารเป็นหลักในการดำเนินกิจการ จึงควรวิเคราะห์จากกระแสเงินสด
4.มาตรการยกเว้นตรวจสอบข้อมูลเครดิตหรือเครดิตบูโร ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมีผลกระทบที่ไม่ดีต่อข้อมูลเครดิตของ mSME จึงขอเสนอให้สถาบันการเงินไม่นำข้อมูลเครดิต ในช่วงการแพร่ระบาดมาพิจารณาการให้สินเชื่อกับ mSMEs เป็นระยะเวลา 2 ปี
5.มาตรการกองทุนพัฒนาวิสาหกิจ ในปัจจุบันได้มีการยกร่าง พระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาวิสาหกิจ พ.ศ. …. เนื่องจากที่ผ่านมา mSMEsจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ ทำให้เกิดหนี้นอกระบบ การที่มีกองทุนจะสร้างแต้ม ต่อให้ mSMEs มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ แข่งขันได้มากขึ้น มีระบบบ่มเพาะสร้างการเติบโตในอนาคต ทำให้เข้าสู่ระบบฐานภาษีเพิ่มขึ้น
6.กองทุนฟื้นฟู NPLs เพื่อการพัฒนา mSMEsไทย จากข้อมูลของธปท. ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2564มีสินเชื่อ ทั้งหมด 17,376,812 ล้านบาท สินเชื่อชั้นปกติ 15,726,823 ล้านบาท สินเชื่อชั้นกล่าวถึงพิเศษ (ไฟเหลือง) 1,112,851 ล้านบาท สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 537,138 ล้านบาท แต่มี mSMEsจำนวนมากที่ติดกับดักทางการเงินเป็น NPLs กว่า 241,734 ล้านบาท หรือ 7.34% ของวงเงินสินเชื่อ mSMEs ทั้งระบบ 3,292,457 ล้านบาท (ไตรมาส1 ปี 2564 ธปท.) หากประเมินสถานการณ์กลุ่มสินเชื่อที่มีแนวโน้ม NPLs (ไฟเหลือง) จะพบว่ามีถึง 432,563 ล้านบาท หรือ 13.14% ของวงเงินสินเชื่อ mSMEs ทั้งระบบ เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนเกิดโควิด-19ถึง 258,519 ล้านบาท (ไตรมาส 4 ปี 2562 ธปท.) กองทุนนี้จะช่วยให้ mSMEs ที่เป็น NPLs จากผลกระทบโควิด-19 และก่อนหน้านี้ ได้รับการดูแลแก้ไขให้กลับสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ จึงขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟู NPLs เป็นการด่วน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี