นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาแนวโน้มการใช้พลาสติกชีวภาพของโลกตามนโยบายที่ได้รับจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ที่สั่งการให้ศึกษาโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการของไทย โดยพบว่า มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะทั่วโลกตระหนักว่าการใช้พลาสติกจากอุตสาหกรรมปิโตรเลียมแบบเดิม เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายในธรรมชาติได้ยาก และเป็นตัวเร่งก่อให้เกิดสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง แต่การขับเคลื่อนด้วยนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model จะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต
ปัจจุบันมีการนำพลาสติกชีวภาพมาใช้แล้วเกือบ 1% ของปริมาณการใช้พลาสติกแบบดั้งเดิม 368 ล้านตันต่อปี โดยอยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์มากที่สุด รองลงมาเป็นสินค้าอุปโภค-บริโภค เสื้อผ้าและสิ่งทอ ภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมยานยนต์และขนส่ง โดยในปี 2562 มีการผลิตพลาสติกชีวภาพทั่วโลกปริมาณ 2.11 ล้านตัน และคาดว่าในปี 2568 จะมีการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2.87 ล้านตัน
นายภูสิตกล่าวว่า การผลิตพลาสติกชีวภาพประกอบด้วยอุตสาหกรรมต้นน้ำ เป็นการผลิตกลูโคสเหลว โดยใช้วัตถุดิบจากแป้งมันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าวสาลี มันฝรั่ง และอ้อย ซึ่งไทยมีความได้เปรียบ เพราะเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบสำคัญที่นำมาใช้ได้เกือบทั้งหมด อุตสาหกรรมกลางน้ำ เป็นการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ และอุตสาหกรรมปลายน้ำเป็นการใช้เม็ดพลาสติกชีวภาพมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ ไทยมีการลงทุนบ้างแล้ว แต่ปลายน้ำยังมีไม่มากนัก
“ไทยมีจุดแข็งในการผลิตพลาสติกชีวภาพมาก เพราะมีทรัพยากรที่สมบูรณ์ เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตร และเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์และส่วนประกอบของพลาสติกรายสำคัญของโลก การพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมดั้งเดิมไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่สร้างมูลค่า สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (2560–2579) และที่สำคัญ หากมีการลงทุนผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพในไทย โดยใช้น้ำตาลจากอ้อยและแป้งจากมันสำปะหลังมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกชีวภาพ จะส่งผลให้น้ำตาลจากอ้อยและแป้งมันสำปะหลังดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงกว่า 3 เท่าและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ธุรกิจแปรรูปเม็ดพลาสติก และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกร และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมมีรายได้เพิ่มขึ้น” นายภูสิตกล่าว
ทั้งนี้ มีการประเมินว่า ในปี 2564 มูลค่าของตลาดอุตสาหกรรมพลาสติกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.1% และการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 2.7% สำหรับเม็ดพลาสติกชีวภาพที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดคือ เม็ดพลาสติกชนิดพอลิแลคติคแอซิด (PLA) โดยคาดว่า การส่งออกPLA จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 16.6% ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก โดยเม็ดพลาสติกชีวภาพชนิด PLA มีการนำไปผลิตเป็นสินค้าประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น แก้วน้ำ หลอด ช้อน ส้อม และในต่างประเทศมีการนำไปผลิตก้นกรองบุหรี่ เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มตลาดของผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพของโลก พบว่า มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์อ่อนตัว (Flexible packaging) 555,000 ตัน บรรจุภัณฑ์แบบคงรูป (Rigid packaging) 443,000 ตัน สินค้าโภคภัณฑ์ 258,500 ตัน สิ่งทอ241,000 ตัน ภาคเกษตร 163,500 ตัน ยานยนต์และขนส่ง 121,000 ตัน อาคารและก่อสร้าง 85,500 ตันผลิตภัณฑ์เคลือบพื้นผิวและสารเติมแต่ง 74,500 ตัน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 67,500 ตัน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีก 101,000 ตัน ขณะที่ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
รายงานของ Euromonitor ในปี 2560 พบว่า ประชาชนในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และเยอรมนี จํานวน 75% จ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ จึงถือเป็นโอกาสของไทยที่จะต่อยอด โดยนำพลาสติกชีวภาพมาเป็นส่วนประกอบในสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตและการส่งออกอยู่เดิม เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป สิ่งทอ และยานยนต์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี