ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท ว่าเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 สัปดาห์ที่ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าลงตามจังหวะการย่อตัวของราคาทองคำในตลาดโลกและสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงปลายสัปดาห์
ในขณะที่เงินดอลลาร์มีแรงหนุนจากมุมมองของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) และรายงานการประชุมเฟด ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เฟดจะเร่งปรับลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ของมาตรการ QE หรือมาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณ และอาจจะตามมาด้วยสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯในปี 2565 หากเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบสูงต่อเนื่อง
นอกจากนี้การเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวล เป็นประธานเฟด อีกสมัย ก็เป็นปัจจัยบวกต่อดอลลาร์ ด้วยเช่นกัน โดยในวันศุกร์ (26 พฤศจิกายน) เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 33.65 เทียบกับระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 พฤศจิกายน)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (29 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม) ธนาคารกสิกรไทย มองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.20-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนตุลาคมของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนพฤศจิกายน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนตุลาคม และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนของยุโรป รวมถึงดัชนี PMI เดือนพฤศจิกายนของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ
ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยหุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงปลายสัปดาห์ แต่ยังไม่หลุดแนว 1,600 จุด โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,610.61 จุด ลดลง 2.09% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 93,574.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.54% มาปิดที่ 565.08 จุด
หุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบเกือบตลอดสัปดาห์ ก่อนจะร่วงลงหนักในช่วงปลายสัปดาห์ โดยการขยับขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์มีปัจจัยหนุนจากตัวเลขส่งออกไทยซึ่งออกมาดีกว่าคาด ประกอบกับมีแรงซื้อต่อเนื่องในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี จากข่าวการควบรวมกิจการของบริษัทสื่อสาร ขณะที่การขยับขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์หลักๆ ได้แรงหนุนจากแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดีหุ้นไทยร่วงลงช่วงปลายสัปดาห์ตามตลาดหุ้นต่างประเทศท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์โควิดในหลายประเทศ รวมถึงการพบไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (29 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,600 และ 1,585 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,630 และ 1,640 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ทิศทางเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนผลการประชุมโอเปกพลัส ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน การจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนพฤศจิกายน ของญี่ปุ่น ยูโรโซนและจีน ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน(เบื้องต้น) ของยูโรโซน ตลอดจนยอดค้าปลีกเดือนตุลาคม ของญี่ปุ่นและยูโรโซน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี