นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมกล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้เลื่อนวาระการพิจารณาแปลงสัญญาสัมปทานเป็นสัญญาร่วมลงทุนรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC บริษัทในเครือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ตามที่ กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอออกไปก่อนว่า ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และ ครม.ที่เข้าร่วมประชุม ที่ทำให้ได้มีการเปิดโอกาสรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในการให้กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ชี้แจง ซึ่งในส่วนกระทรวงคมนาคมได้ตั้งข้อสังเกตให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักของกฎหมาย และหลักธรรมาภิบาล เพราะหลายประเด็นทาง กทม.ยังทำไม่รอบด้านและครบถ้วน
ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ข้อเสนอแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียวที่จะนำไปสู่การต่อขยายสัญญาสัมปทานออกไปอีก 30 ปีนั้นเป็นการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่ให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะทำว่าแก้ไขปัญหาหนี้สินที่ กทม.มีอยู่กับบีทีเอสโดยเร็ว ก่อนจะได้ข้อยุติที่จะให้ต่อขยายสัญญาสัมปทานบีทีเอสจำนวน 30 ปีแลกกับการให้เอกชนต้องรับภาระหนี้ของ กทม.ไปทั้งหมด ซึ่งแนวทางดังกล่าวกระทรวงมหาดไทยได้นำเสนอต่อประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 2562 โดยที่กระทรวงคมนาคมเองก็มีหนังสือยืนยันเห็นด้วยมาโดยตลอด แต่เมื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ครั้งต่อๆ มา กลับปรากฏว่า กระทรวงคมนาคมที่เคยให้ความเห็นชอบมาโดยตลอด กลับจัดทำความเห็นคัดค้าน โดยอ้างว่าอัตราค่าโดยสารที่กำหนดไว้ 65 บาทตลอดสายสูงเกินไป เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าของ รฟม.และยังมีประเด็นข้อกฎหมายและมติ คณะรัฐมนตรีที่กระทรวงคมนาคมยังดำเนินการไม่ครบถ้วน จึงทำให้กระทรวงมหาดไทยต้องขอถอนเรื่องออกจากที่ประชุม ครม.ไปแล้วถึง 2 ครั้งก่อนหน้านี้
แหล่งข่าวกล่าวว่าอีกการคัดค้านการต่อขยายสัญญาสัมปทานบีทีเอสของกระทรวงคมนาคมเต็มไปด้วยข้อสงสัย จากที่ คมนาคมไม่ได้มีท่าทีคัดค้านมาก่อนแต่อย่างใด โดยนับตั้งแต่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เข้ามารับตำแหน่งเมื่อส.ค.2562 แต่หลังเกิดปัญหาการประมูลรถไฟฟ้า สายสีส้ม วงเงินกว่า 1.427 แสนล้านบาท ที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ถูก BTS ฟ้องร้อง ผู้ว่าฯรฟม.-และคณะกรรมการคัดเลือกตาม ม.36 กรณีปรับเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกที่ไม่เป็นไปตาม RFP/TOR จนศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองและระงับการใช้เกณฑ์ดังกล่าว ท่าทีของกระทรวงคมนาคมที่มีต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวก็เปลี่ยนไปทันที และลุกขึ้นมาทำหนังสือทักท้วงการต่อขยายสัญญาสัมปทานบีทีเอสในทันที และออกโรงคัดค้านการต่อขยายสัมปทานอย่างหนักหน่วง ซึ่งคนในครม.และวงการรู้ดีว่านี่คือ ต่อรองเพื่อหวังจะให้นายกรัฐมนตรีเจรจาให้กลุ่ม บีทีเอส วางมือจากการประมูลโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม รวมทั้งถอนฟ้องคดีความทั้งหมดที่มีอยู่หรือไม่
“แนวทางการต่อขยายสัญญาสัมปทานดังกล่าว ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาภาระหนี้คงค้างร่วม 1 แสนล้าน ที่กทม. มีอยู่กับบีทีเอส การที่รัฐบาลและ ครม.ยังคงดึงเรื่องการต่อขยายสัญญาออกไปจะยิ่งทำให้ กทม.ต้องแบกภาระหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากไม่สามารถจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยายได้”
ทั้งนี้ข้ออ้างว่าต้องคัดค้านการต่อสัมปทานเพราะหากปล่อยให้สัญญาสัมปทานหมดลง รถไฟฟ้าสายสีเขียวก็จะกลับมาเป็นของรัฐ และจะทำให้ค่าโดยสารถูกลงได้ เป็นเรื่องปาหี่ทางการเมืองเพราะความจริงปรากฏอยู่แล้วว่า ขนาดรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่เป็นระบบรถไฟฟ้าที่อยู่ในการดูแลของรัฐ และรัฐควักเงินลงทุนโครงสร้างเป็นเงินถึง 70% ของการลงทุน ค่าโดยสารของรถไฟฟ้าในระบบนี้ก็ควรจะต้องถูกกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างน้อยต้อง 70% เพราะเป็นส่วนที่รัฐได้ลงทุนไปให้เอกชน หรือรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่รัฐลงทุนเองทั้งหมด แต่เหตุไฉนกลับเก็บค่าโดยสารแพงกว่าระบบรถไฟฟ้าที่เอกชนลงทุน 100% เสียอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี