นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ยังเผชิญข้อจำกัดในการฟื้นตัว เพราะแม้จะมีแรงหนุนจากการทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว แต่ภาพรวมการส่งออกสินค้ายังคงปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบ
ของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังคงเติบโตในกรอบจำกัด

สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2566 ยังคงต้องติดตามความไม่แน่นอนของภาคเศรษฐกิจโลกรวมถึงผลกระทบจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจให้ถดถอยลง โดยจากสถานการณ์ดังกล่าวย่อมต้องมีผลกระทบ และเพิ่มแรงกดดันต่อภาคการส่งออกของไทย และทำให้ภาพรวมการส่งออกของไทยในปี 2566 อาจจะหดตัวลงได้

นอกจากนี้ ผลกระทบต่อการใช้จ่ายภายในประเทศจากแรงกดดันด้านต้นทุนค่าครองชีพ และปัญหาหนี้ครัวเรือนก็ยังคงเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเปราะบางต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน ธนาคารและบริษัทย่อยจึงยังคงดำเนินธุรกิจตามหลักความระมัดระวังรอบคอบ ภายใต้ทิศทางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งยังคงให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่เท่ากันผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคาร

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่10,741 ล้านบาท ซึ่งลดลง 4.19% เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ มีจำนวน 26,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.32% เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้จากการดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพของธนาคารอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(Expected credit loss : ECL) ตามหลักความระมัดระวัง แม้จะลดลงจากช่วงไตรมาส 4ปี 2565 ที่ผ่านมา แต่เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุกที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ที่อาจจะส่งผลต่อลูกค้าบางกลุ่มที่ยังมีความเปราะบาง นอกจากนี้ในไตรมาส 1 ปี 2566 ธนาคารพบว่ามีลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่คุณภาพหนี้มีสัญญาณความเสื่อมถอย โดยธนาคารได้มีสำรองสำหรับหนี้ส่วนนี้ไว้แล้ว ธนาคารอาจพิจารณาความเหมาะสมในการกันสำรองเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด

ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ เพิ่มขึ้น 9.84%สอดคล้องกับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและการเติบโตของสินเชื่อใหม่ ตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร โดยอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin :NIM) อยู่ที่ระดับ 3.46% แม้จะมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอัตราปกติในอัตรา 0.46% และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น32.00% โดยหลักๆ จากมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกำไรหรือขาดทุนเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 13.82% ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มตามปริมาณธุรกิจ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น โดยส่วนหนึ่งจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 42.50% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน