นายประพล พรประภา กรรมการและรองผู้จัดการ บริษัทฐิติกร หรือ TK เปิดเผยว่า ตั้งแต่ไตรมาส 3 ในปี 2565 TK ได้ชะลอการปล่อยสินเชื่อรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับการประกาศเรื่อง“ให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุม สัญญา พ.ศ. 2565” เมื่อตุลาคม 2565 และเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 10 มกราคม 2566 ซึ่งในภาวะสุญญากาศช่วงดังกล่าวผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ประกอบการที่เร่งปล่อยสินเชื่อช่วงชิงจังหวะที่ดอกเบี้ยเช่าซื้อยังคงลอยตัวเพื่อเร่งขยายพอร์ต และกลุ่มผู้ประกอบการที่ชะลอการปล่อยสินเชื่อ โดยคาดการณ์ว่าหลังเริ่มมีผลบังคับใช้ประกาศฯอาจมีลูกค้าหยุดผ่อนชำระสินเชื่อที่ดอกเบี้ยสูง เพื่อมาขอกู้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า

หลังประกาศฯ ข้างต้นมีผลบังคับใช้ มีการคาดการณ์ว่าตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จะชะลอตัวจากดอกเบี้ยที่มีเพดานกำหนดที่ 23% อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาส 1 ยังมีผู้ประกอบการหลายรายที่ยังแข่งขันกันรุนแรง เพราะต้องการแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด จะเห็นได้จากการรายงานผลประกอบการของผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์มีการเติบโตพอสมควรในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา และในไตรมาส 1 ปีนี้ ยังคงเห็นการเร่งเติบโต

“ในปี 2566 นี้การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะเข้ามากำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์อีกกว่า 3,000 รายส่งผลให้มีสุญญากาศเกิดขึ้นในธุรกิจเช่าซื้อฯ อีกครั้ง เนื่องจากผู้ประกอบการรอดูแนวทางในการกำกับดูแลจากธปท. ซึ่งข่าวล่าสุดจากสื่อมวลชนรายงานความคืบหน้าว่า 1 พฤศจิกายน 2566 นี้ พ.ร.ฎ. จะมีผลบังคับใช้ โดย ธปท. จะเริ่มทำโฟกัสกรุ๊ปคล้ายๆ การทำ Public Hearing เพื่อหารือเกี่ยวกับประกาศและแบบรายงานข้อมูล หาก ธปท. ออกกฎมาอย่างชัดเจน ก็จะง่ายต่อผู้ประกอบการ และเข้าใจชัดเจนเหมือนกันหมดเพราะทุกรายต้องดำเนินกิจการภายใต้กฎเดียวกัน” นายประพลกล่าว

ด้านหนี้เสีย หรือ NPL ในธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ จากการข้อมูลสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ได้ทำการศึกษาล่าสุดไว้เมื่อปี2560 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดที่มีอยู่ รายงานว่า NPL ของธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศสูงถึง 37% สอดคล้องกับรายงานตัวเลข NPL ของผู้ประกอบการสินเชื่อ PICO ล่าสุด ณ เดือนมิถุนายน 2565 ที่สูงถึง 33% ใกล้เคียงกับตัวเลขที่สถาบันป๋วยได้วิจัยไว้ เนื่องจากเป็นลูกค้ากลุ่มเดียวกัน อีกทั้งยังน่าจะสอดคล้องกับผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ และสอดคล้องกับลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์ซึ่งมีรายได้สูง แต่มีรายงานว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีรถยนต์ที่ถูกยึดสูงถึง 90,000 คัน คาดว่าปีนี้จะมีรถถูกยึดมากถึง 200,000 - 250,000 คัน หลังจากหมดมาตรการพักชำระหนี้ทยอยครบตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 นี้

แต่สำหรับ TK ถึงแม้ว่า NPL พอร์ตในประเทศจะขยับตัวขึ้นจาก 6.8% เป็น 8% ซึ่งเกิดจากการชะลอปล่อยกู้มาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้วทำให้พอร์ตในประเทศหดตัว ส่งให้เปอร์เซ็นต์ NPL ดูเพิ่มขึ้นมาก แต่หากพิจารณาจำนวนเงินแล้ว ไม่ได้เพิ่มมาก จึงไม่ได้กังวลเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ภาพรวม NPL พอร์ตเช่าซื้อของ TK ที่รวมยอดเช่าซื้อจากต่างประเทศและในประเทศเพิ่มจาก 6.9% เป็น 7% ในไตรมาส 1 ปีนี้เท่านั้นบริษัทฯตั้งสำรองถึง 7.5% หรือ 318 ล้านบาท โดยมี Coverage Ratio 105% (สัดส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้เสีย)ซึ่งมีเกินความเพียงพอ

นายประพลคาดการณ์ว่าตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศจะคงทรงตัวในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 แต่ตลาดเช่าซื้อฯ ในต่างประเทศที่ TK ดำเนินธุรกิจอยู่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าเมื่อธปท. ทำโฟกัสกรุ๊ปแล้วอาจจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อฯ ว่าต้องการให้ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหนซึ่งผู้ประกอบการจะได้เตรียมปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจต่อไป

“ปัจจุบัน TK ถือเงินสด 2,101.3 ล้านบาท โดยไม่ต้องใช้เงินกู้ หรือออกหุ้นกู้ทำให้ประเด็นดอกเบี้ยขาขึ้นไม่มีผลกระทบกับเรา ทันทีที่ ธปท. ออกประกาศ พ.ร.ฎ. มีผลบังคับใช้อย่างชัดเจน เราพร้อมเดินหน้ารุกขยายตลาดเต็มที่ เรามั่นใจว่า ด้วยความเชี่ยวชาญ ความเข้าใจตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และประสบการณ์กว่า 50 ปี รวมทั้งการเดินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่าง TK จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และเติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางไว้” นายประพลกล่าว