นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า หลายหน่วยงาน มีการปรับลดประมาณการ
เศรษฐกิจไทยลงไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยมาจากหลายปัจจัย ที่ยังส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งปริมาณการค้าโลกที่มีแนวโน้มโตต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม จากปัญหาการโจมตีเรือสินค้าผ่านทะเลแดง ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญ รวมทั้งการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน ที่มีแนวโน้มหดตัวเช่นกัน และที่สำคัญการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ประกอบกับงบประมาณทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายงบลงทุน ทำได้ต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม
ทั้งนี้ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.6% จากเดิมที่คาดไว้ 3.2% จากเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยได้ลดตัวเลขคาดการณ์ทั้ง การบริโภคของภาคเอกชนเหลือ 2.8% จากเดิม 3.2% การบริโภคของภาครัฐเหลือเพียง 1.5% จากที่คาดไว้เดิม 2.5% รวมถึงการลงทุนภาครัฐ ที่อาจจะติดลบ 1% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.7% ขณะที่ การส่งออก จะขยายตัวได้ 2.8% จากเดิมคาดว่า 3% อัตราเงินเฟ้อ คาดว่าจะอยู่ที่ 1% จากเดิม 2% รวมถึงสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อจีดีพี ที่เพิ่มขึ้นถึง 2% จาก 87.8% เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 89.8%
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่าขณะนี้มีเพียงรายได้จากการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้เพียง 1.4 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ปีนี้คาดว่าจะกลับมาถึง 35 ล้านคน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวันสูงขึ้น และจีดีพีภาคเกษตร คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเป็น 2.0% จากเดิม 1.8%ดังนั้น ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจึงได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2567 ลงมาอยู่ที่ 2.6% จากคาดการณ์เดิมที่ 3.2% โดยในไตรมาสแรกขยายตัวได้เพียง 2% ไตรมาสที่ 2 เริ่มฟื้นตัวขยายตัว 2.5% ไตรมาสที่ 3 ขยายตัว3.1% และไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวที่ 2.8%
อย่างไรก็ตาม โดยมองว่าไทยยังมีโอกาสที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจ กลับมาขยายตัวเกิน 3% ได้ หากมีการเตรียมพร้อมจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะโครงการลงทุนภาครัฐได้ทันทีเมื่อผ่านงบประมาณ และยิ่งใช้จ่ายเงินงบประมาณได้เร็วก็จะยิ่งมีผลต่อเศรษฐกิจ ซึ่งทุกๆ 1 แสนล้านบาท ของการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนภาครัฐ จะมีผลให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 0.68% รวมถึงมีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะใช้นโยบายทางการเงินมาช่วยผ่อนคลายเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น โดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในเดือนเมษายน ก็สามารถทำได้ เพื่อคุมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดย 2 เดือนแรก ขยายตัวเพียง 0.47% ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมาย 0.5-3%
นอกจากนี้ หากมีมาตรการการคลังผ่านเงินโอน โดยเฉพาะโครงการดิจิทัล วอลเล็ต หากทำเร็วก็ยิ่งมีตัวกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีขึ้น โดยการใช้งบทุกๆ 100,000 ล้านบาทของเงินโอน จะทำให้จีดีพี ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.26% ประกอบกับการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ผ่านมาตรการจูงใจอาทิ ฟรีวีซ่าชั่วคราวหรือถาวร การเพิ่มรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งทุกปัจจัยจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้จีดีพีในปีนี้ขยายตัวได้เกินกว่า 3%เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี