nn จำไม่ผิด...ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวย้ำๆมาหลายครั้งในรอบ 1-2 ปีมานี้ว่า เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวได้ระดับ 2-3% ถือว่าต่ำกว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทย ซึ่งหลายๆ สำนักก็ออกมาย้ำและขยายความในทิศทางเดียวกันกับผู้ว่าฯธปท.ได้กล่าวไว้
เหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพก็เช่นว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มขั้น ขณะที่อัตราการเกิดใหม่ของเด็กก็ลดลง ทำให้ประชากรวัย
แรงงานนั้นลดลง บวกกับเทคโนโลยีของไทยที่ตกยุค ทำให้ประสิทธิภาพในภาคการผลิตตกต่ำ ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยจึงสู้คู่แข่งขันไม่ได้
การที่จะฝันเห็นเศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดเฉลี่ยถึงปีละ 7-8% เหมือนในอดีตหลายสิบปีก่อน(ยุคที่เราฝันว่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย)ไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว...หรือแม้แต่จะฝันเห็นตัวเลขการเติบโตในระดับ 3-5% (ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19) ก็ยังลำบากเช่นกัน ด้วยเหตุเพราะตัวเลขที่ว่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากแรงหนุนของภาคการบริโภคเป็นหลัก ก็เกิดจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาล แต่ตอนนี้ด้วยวัยแรงงานที่ลดลง และจำนวนหนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบเท่าจีดีพีกำลังการบริโภคจึงอ่อนแอลงกว่าแต่ก่อนมาก ซ้ำรัฐบาลเองก็มีข้อจำกัดเรื่องการคลังการจะใช้เงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคอีกก็คงทำได้ไม่เต็มที่ หรือถ้าฝืนทำต่อไปเหมือนก่อนก็จะสร้างปัญหาใหญ่ในเรื่องหนี้สาธารณะตามมาในระยะเวลาอันใกล้ และใหญ่จะอาจจะเรียกได้ว่าเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ของเศรษฐกิจไทยเลยก็ว่าได้
โดยข้อเท็จจริงของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยตอนนี้จึงทำให้เราสามารถเติบโตได้ในระดับ 2-3% เท่านั้น แต่หากว่ายังไม่ทำในสิ่งที่ควรทำเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในระดับ 1-2% เท่านั้นเอง...แล้วถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ...คำตอบคือต้องให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ด้วยการลงทุน...ประเทศไทยต้องเร่งเพิ่มสัดส่วนการลงทุน เข้าไปในจีดีพีให้มากกว่านี้ เริ่มจากการลงทุนโดยภาครัฐ...แต่ๆๆๆ การลงทุนภาครัฐต้องไม่ใช่การซ่อมสร้างถนนทางหลวงหรือทางหลวงชนบท โครงการชลประทาน ซื้อโอ่งแจกช่วงภัยแล้ง ฯลฯ การลงทุนอะไรแบบนี้ไม่ควรกินเม็ดเงินก้อนใหญ่ในงบประมาณลงทุนของรัฐอีกต่อไปแล้ว...แต่สิ่งที่ต้องลงทุนคือการลงทุนขนาดใหญ่ที่คุ้มค่าและเน้นเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในอีกมิติหนึ่งที่ภาครัฐต้องทำในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุน คือ เพิ่มนโยบายสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบการในประเทศให้มากขึ้น เพื่อจะได้ไม่ย้ายฐานการผลิต หรือโยกเงินออกลงทุนในต่างประเทศ และให้สิทธิประโยชน์ที่เพียงพอดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เข้ามา...เพราะขณะนี้สัดส่วนการลงทุนของไทยอยู่ที่ 24-25% ต่อจีดีพีเท่านั้น หากจะให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ระดับ 3-4% ต้องเพิ่มสัดส่วนการลงทุนให้ได้ 35-40% ต่อจีดีพี
ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ขาดการลงทุนเช่นนี้ ด้วยการบริหารของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจที่จ้องจะแจกเงิน(สิ้นคิด ปัญหาอ่อน) การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม
เช่นนี้ การเมืองที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแบบนี้ การคอร์รัปชั่นในทุกระดับเช่นนี้...เราจึงเห็นมหกรรมการไหลออกของเงินทั้งจากตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร การโยกย้ายฐานการผลิตออกจากไทย...หรือจะเรียกว่า “เซลส์ไทยแลนด์” อย่างที่อดีต รมว.คลัง ท่านหนึ่งบอกว่าได้ยิน นักลงทุนต่างชาติเขาพูดกันแบบนี้...
และก็บอกเลยว่า“ระเบิดเวลา”ลูกใหญ่ที่บอกไว้ข้างต้นระเบิดตูมขึ้น...คราวนี้ฉิบหายมากกว่าตอน “ต้มยำกุ้ง”แน่ๆ
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี