ดร.มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคมเปิดเผยถึงโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์ประเทศในการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)ที่กระทรวงคมนาคมและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งรัดผลักดันเพื่อให้โครงการสำเร็จออกมาเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุดเพื่อเป็นการสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นอกจากนั้นท่าเรือแหลมฉบังยังสามารถแบ่งเบาอัตราใช้ท่าเทียบเรือของท่าเรือกรุงเทพ(คลองเตย) ได้อีกด้วยซึ่งท่าเรือกรุงเทพนั้นมีข้อจำกัดด้านความลึกร่องน้ำและขนาดเรือ ปัจจุบัน ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 1 และระยะที่ 2 รองรับตู้สินค้าได้กว่า 11 ล้านทีอียู ส่วนท่าเรือกรุงเทพรองรับได้ 1.34 ล้านทีอียู

โดยเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ได้ลงพื้นที่ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ร่วมกับฝ่ายบริหารท่าเรือแหลมฉบัง โดยหารือถึงแนวทางต่างๆ เพื่อผลักดันโครงการร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงเร่งรัดการก่อสร้าง ให้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด

สำหรับความคืบหน้าของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ทาง การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)ได้รายงานว่างานก่อสร้างงานทางทะเล(ส่วนที่ 1)คืบหน้าแล้ว 67.48%โดยมีกิจการร่วมค้า CNNC เป็นผู้รับจ้างส่วนพื้นที่ท่าเรือชายฝั่ง F1ล่าสุดเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมส่งมอบพื้นที่ท่าเทียบเรือให้กับบริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล(GPC) ภายในปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 งานก่อสร้างส่วนที่2 เป็นงานก่อสร้างอาคาร ท่าเรือ ระบบถนนและระบบสาธารณูปโภค โดยบริษัท ซีเอชอีซี (ไทย) เป็นผู้รับจ้างเริ่มงานก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2567

ด้านงานก่อสร้างที่ 3 งานระบบรถไฟและงานก่อสร้างส่วนที่ 4 งานจัดหาและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ขนย้ายสินค้า อยู่ระหว่างจัดทำร่างขอบเขตของงาน (TOR)และว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทบทวนเอกสารประกวดราคาคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้เร็ว ๆ นี้

ดร.มนพรกล่าวย้ำว่ากระทรวงคมนาคมพร้อมที่จะพัฒนาท่าเรือในประเทศไทย เพื่อเป็นประตูเศรษฐกิจแห่งใหม่ของอาเซียนตามนโยบายคมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทยและจะกลายเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค