วันอังคาร ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
สหรัฐฯ ทยอยขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์-ชิ้นส่วนกระทบส่งออกไทย

สหรัฐฯ ทยอยขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์-ชิ้นส่วนกระทบส่งออกไทย

วันอังคาร ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 11.57 น.
Tag : ชิ้นส่วนยานยนต์ ทรัมป์ ภาษี รถยนต์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สหรัฐ
  •  

สหรัฐฯ นับเป็นประเทศผู้นำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วนการนำเข้ารวมสูงถึง 20% ของมูลค่าการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรวมกันทุกประเทศทั่วโลก เพราะแม้จะมียอดขายรถยนต์ในประเทศที่สูงถึงมากกว่า 16 ล้านคัน (อันดับ 2 ของโลก) แต่กลับผลิตรถยนต์ในประเทศเฉลี่ยเพียงปีละ 10 ล้านคัน ซึ่งน้อยกว่าความต้องการในประเทศมาก

เพื่อดึงดูดการลงทุนกลับเข้าประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ จึงประกาศขึ้นภาษีนำเข้าที่เกี่ยวกับรถยนต์และชิ้นส่วนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขึ้นภาษี 25% กับรถยนต์และชิ้นส่วนผ่านมาตรา 232 ของพระราชบัญญัติการขยายการค้า พ.ศ. 2505 และขึ้น Reciprocal Tariff กับชิ้นส่วนรถยนต์ที่อยู่นอกรายการที่โดนเรียกเก็บภาษีแล้วในมาตรา 232 ซึ่งแม้จะมีมาตรการผ่อนปรนต่าง ๆ ออกมาในภายหลังบ้าง แต่ก็ช่วยลดผลกระทบได้เพียงบางส่วน


สำหรับไทย การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ย่อมกระทบกับรถยนต์และชิ้นส่วนที่ส่งออกไปสหรัฐฯอย่างไม่อาจเลี่ยง โดยในปี 2567 มีมูลค่ารวม 6,426 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 14% ของมูลค่าการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไทยไปทั่วโลก และคิดเป็นสัดส่วน 1.2% ของ GDP ไทย ในปี 2567

ทั้งนี้ ระดับของผลกระทบที่การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไทยจะได้รับนั้น แตกต่างกันไปตามระดับการพึ่งพิงของสินค้านั้นกับตลาดสหรัฐฯ และมาตรการภาษีที่โดน

ภาษี 25% จากมาตรา 232 ปัจจัยหลักกระทบส่งออกโดยเฉพาะชิ้นส่วน

สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ พบว่าเกือบทั้งหมดถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ภายใต้มาตรา 232 อย่างไรก็ดี ผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้าต่อรถยนต์และชิ้นส่วนนั้นแตกต่างกัน

โดยรถยนต์ (เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 3 เมษายน 2568) : คาดไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้า 25% เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นตลาดหลักของไทย และรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่เคยนำเข้าไปจำหน่ายเดิมในสหรัฐฯ (36,000 คันในปี 2567) นั้น มีแผนยุติจำหน่ายในสหรัฐฯ อยู่แล้วในปีนี้ ดังนั้น การลดลงของปริมาณการส่งออกจึงไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้า อย่างไรก็ดี สำหรับการส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯในอนาคตอาจทำได้ยากมากขึ้นจากต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น

ชิ้นส่วนรถยนต์ (เริ่มใช้ตั้งแต่ 3 พฤษภาคม 2568 กับชิ้นส่วนรถยนต์ตาม HS Code ที่สหรัฐฯกำหนด 130 รายการ) : คาดได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์อันดับ 1 ของไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 26%

อย่างไรก็ดี หากแยกพิจารณาแบ่งตามระดับผลกระทบที่กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ได้รับซึ่งแตกต่างกัน อาจแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

1.ชิ้นส่วนรถยนต์ที่คาดกระทบมาก : ส่งออกไปสหรัฐสัดส่วนสูง

-ชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง โดยเฉพาะ กระปุกเกียร์ และเพลาขับที่มีหม้อเพลา

-ชิ้นส่วนระบบกันสะเทือน โดยเฉพาะ ล้อและส่วนประกอบล้อ และพวงมาลัย

-ชิ้นส่วนไฟฟ้า&อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ อุปกรณ์ส่องสว่าง และหัวเทียน

2.ชิ้นส่วนรถยนต์ที่คาดโดนกระทบปานกลาง : ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนไม่สูง

-ชิ้นส่วนตัวถังและอุปกรณ์ภายใน โดยเฉพาะอุปกรณ์ตกแต่ง และถุงลมนิรภัย

3.ชิ้นส่วนรถยนต์ที่คาดโดนกระทบน้อย : ต้นทุนพอแข่งขันได้ หรือส่งออกไปสหรัฐฯ น้อย

-ยางรถยนต์ โดยเฉพาะ ยางรถยนต์นั่งและปิกอัพ ขณะที่ยางรถปัสและรถบรรทุกยังต้องระวังเพราะไทยโดนขึ้นภาษี AD ขณะที่คู่แข่งไม่โดน

-เครื่องยนต์ ซึ่งไทยส่งออกไปสหรัฐฯน้อยมาก และยังมีตลาดส่งออกอื่น เช่น อาเซียน แอฟริกาใต้ และไต้หวัน เป็นต้น

มาตรการคืนเงินชดเชยภาษีล่าสุดของสหรัฐฯไม่ช่วยชิ้นส่วนไทยมากนัก

แม้ 29 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ จะประกาศคืนเงินชดเชยภาษีนำเข้าเฉพาะสำหรับชิ้นส่วน OEM ที่นำเข้ามาใช้ประกอบรถยนต์ในประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้า 25%ทว่าชิ้นส่วนรถยนต์ส่งออกจากไทยอาจได้อานิสงส์บางส่วนเท่านั้น จากสาเหตุหลัก 2 อย่าง คือ

1.เงินชดเชยที่ค่ายรถได้รับมีจำกัด ทำให้ค่ายรถสามารถเลือกชิ้นส่วนรถยนต์ที่ได้เงินชดเชยคืนแค่บางรายการเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนไม่มาก เนื่องจากปัจจุบันรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯส่วนใหญ่อาศัยการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์เข้าไปผลิตในสัดส่วนที่สูง โดยบางรุ่นอาจมีสัดส่วนชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าถึงมากกว่า 50% ของมูลค่าชิ้นส่วนรถยนต์ที่ใช้ทั้งหมด  

2.ชิ้นส่วนรถยนต์ส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯมากกว่าครึ่งเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ (REM) ซึ่งกระจายอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ที่ไทยส่งออก โดยเฉพาะ ยางรถยนต์ ล้อและส่วนประกอบล้อ หัวเทียน และอุปกรณ์ส่องสว่าง เป็นต้น ซึ่งชิ้นส่วนอะไหล่จะไม่ได้รับเงินชดเชยดังกล่าว จึงต้องเจอกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี 25% เต็มจำนวน

จากทิศทางดังกล่าว คาดว่าหลังจากสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผัน 2 ปี ที่ได้เงินชดเชย การลงทุนเพิ่มของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์บางรายการจากต่างประเทศลดลง ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่มสูงก่อน อย่างเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น  

ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด

-ทิศทางภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของไทยหลังครบกำหนดผ่อนผัน 90 วัน ว่าจะลดลงจาก 36% หรือไม่ ซึ่งแม้มูลค่าส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ในกลุ่มที่โดน Reciprocal Tariff จะมีไม่มากที่ราว 6% ของมูลค่าการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไปสหรัฐฯทั้งหมด แต่หากโดนภาษีสูงในอัตราดังกล่าว ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศคู่แข่งมาก ย่อมกระทบต่อการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์กลุ่มนี้ของไทย เช่น ไส้กรองน้ำมัน ท่อเชื้อเพลิง หม้อพักท่อไอเสียและท่อไอเสีย เป็นต้น อย่างไม่อาจเลี่ยง   

-การส่งออกชิ้นส่วน OEM ไปต่างประเทศอาจลดลง โดยเฉพาะ ในกลุ่มประเทศที่ผลิตรถยนต์ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง เช่น เม็กซิโก และญี่ปุ่น เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ กำลังพยายามลดการนำเข้ารถยนต์แล้วหันมาผลิตเองในประเทศเพิ่มขึ้น ผ่านการใช้มาตรการภาษีต่างๆ

-การแข่งขันกันส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนในตลาดนอกสหรัฐฯ อาจทวีความรุนแรงขึ้น หลังการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนอันดับ 1 ของโลกนั้น ไม่ง่ายเหมือนในอดีต การหันมาลุยในสนามแข่งนอกตลาดสหรัฐฯจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อการอยู่รอดของธุรกิจ

-การย้ายฐานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากไทยบางส่วนของบริษัทข้ามชาติไปสหรัฐฯอาจทยอยเกิดขึ้น เนื่องจากต้นทุนภาษีนำเข้าของหสรัฐฯ ได้กลายมาเป็นต้นทุนหลักที่เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยบริษัทข้ามชาติที่มีโอกาสย้ายฐานการผลิตบางส่วนไป จะเป็นบริษัทที่มีฐานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อยู่แล้วในสหรัฐฯ และปัจจุบันมีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ สูง

หทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล

เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 

-031

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รายงานวิจัยนี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เพื่อเผยแพร่เป็นการทั่วไป โดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะ หรือ ข้อมูลที่เชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือที่ปรากฏขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ทั้งนี้ KResearch มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสม ความครบถ้วนสมบูรณ์ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าว และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ชวน เสนอแนะ ให้คำแนะนำ หรือจูงใจในการตัดสินใจเพื่อดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด ดังนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังและใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใดๆ KResearch จะไม่รับผิดในความเสียหายใดที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว

ข้อมูลใดๆ ที่ปรากฎในรายงานวิจัยนี้ถือเป็นทรัพย์สินของ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) การนำข้อมูลดังกล่าว (ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน) ไปใช้ต้องแสดงข้อความถึงสิทธิความเป็นเจ้าของแก่ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) หรือแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ ทั้งนี้ ท่านจะไม่ทำซ้ำ ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข ส่งต่อ เผยแพร่ หรือกระทำในลักษณะใดๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า เป็นลายลักษณ์อักษรจาก KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี)

Disclaimers

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ไอร่าชี้ภาษี 36%สหรัฐฯซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย แนะรัฐเร่งขยายตลาดใหม่ในภูมิภาค ไอร่าชี้ภาษี 36%สหรัฐฯซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย แนะรัฐเร่งขยายตลาดใหม่ในภูมิภาค
  • กับดักเศรษฐกิจไทยในยุคพึ่งพานำเข้าสูง กับดักเศรษฐกิจไทยในยุคพึ่งพานำเข้าสูง
  • GCAP จับตาสงครามการค้าระลอกใหม่หนุนทองคำแตะ 3,400 เหรียญ GCAP จับตาสงครามการค้าระลอกใหม่หนุนทองคำแตะ 3,400 เหรียญ
  • สินเชื่อยั่งยืนและโครงการสีเขียวช่วย SMEs เข้าถึงเงินลงทุนถูก สินเชื่อยั่งยืนและโครงการสีเขียวช่วย SMEs เข้าถึงเงินลงทุนถูก
  • SCB EIC ชี้ภาษีสหรัฐฯปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย SCB EIC ชี้ภาษีสหรัฐฯปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย
  • โกลเบล็กชี้ภาษีทรัมป์วิกฤตเศรษฐกิจ วอนรัฐเร่งฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน โกลเบล็กชี้ภาษีทรัมป์วิกฤตเศรษฐกิจ วอนรัฐเร่งฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน
  •  

Breaking News

'fight for นายช'ซิวแชมป์ Cyber Warrior Hackathon 2025 ตร.ไซเบอร์ผนึก'มจธ.'ปั้นยอดนักรบไซเบอร์

กระบะเลี้ยวเข้าซอย มอไซค์พุ่งชนกลางลำ หนุ่มกัมพูชาบาดเจ็บ

เปิดตัว'มะละกะ' ผลไม้ลับตะกั่วป่า! ไม่ใช่'ลองกอง-ลางสาด' ความอร่อยที่ต้องตามล่า

วงจรปิดจับภาพชัด! โจรใจบาปปั่นจักรยานเข้าวัดยามวิกาล ย่องเบาลักตู้บริจาค

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved